ปลูกมะเดื่อฝรั่งพื้นที่จำกัด อาชีพทำเงินสร้างสุขหลังเกษียณ
5 ก.ค. 2564
3,351
0
ปลูกมะเดื่อฝรั่งพื้นที่จำกัด
ปลูกมะเดื่อฝรั่งพื้นที่จำกัด อาชีพทำเงินสร้างสุขหลังเกษียณ

ปลูกมะเดื่อฝรั่งพื้นที่จำกัด อาชีพทำเงินสร้างสุขหลังเกษียณ

หากพูดถึงมะเดื่อฝรั่งหรือฟิกถือว่าเป็นพืชอีกชนิดหนึ่งได้รับความนิยมจากเกษตรกร และนักสะสมพันธุ์ไม้ เพราะเป็นได้ทั้งพืชที่ปลูกประดับ และพืชสร้างรายได้ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการปลูกของแต่ละคน การปลูกมะเดื่อฝรั่งหากจะทำเชิงพาณิชย์ ไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้างโรงเรือนขนาดใหญ่ก็ได้ แต่สามารถปลูกกลางแจ้ง และใช้พื้นที่ไม่ต้องมาก โดยปลูกในวงบ่อแล้ววางระเบียบการปลูกให้ดี ก็สามารถปลูกได้หลายๆ ต้นและสามารถทำเป็นอาชีพเสริมทำเงินได้เป็นอย่างดี

คุณธนัชพันธ์ แก้วน้ำ หรือลุงอ้วน แห่ง “สวนมะเดื่อฝรั่งลุงอ้วน แปดริ้ว” เลขที่ 5/1 หมู่3  ต.คลองประเวศ อ.บ้านโพธิ์ จ.ฉะเชิงเทรา โทร. 083-598-5553 ก็เป็นคนหนึ่งที่เข้ามาทำสวนมะเดื่อฝรั่งโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับทำได้ดี ภายใต้พื้นที่ค่อนข้างจำกัด และสร้างรายได้ดีอย่างน่าสนใจ โดยลุงอ้วนเล่าให้เกษตรโฟกัสฟังว่า เดิมเป้นพนักงานของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต บางกรวย ส่วนภรรยาเป็นพยาบาลจังหวัดชลบุรี แต่เกษียณอายุราชการมาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ตอนแรกก็ไม่สนใจด้านการเกษตรเลยเพราะไม่มีประสบการณ์ หลังเกษียณใหม่ๆ เพื่อนฝูงมาชักชวนให้ไปทำธุรกิจขายตรง ด้วยความที่เป็นคนชอบเที่ยว เห็นว่ามีเวลาว่างและได้ออกไปพบปะผู้คนนอกบ้านบ้างจึงรองไปทำอยู่ระยะหนึ่ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จเพราะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง จนวันหนึ่งมีเพื่อนแนะนำให้รู้จักผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่าฟิกหรือมะเดื่อฝรั่ง ว่าเป็นผลไม้มหัศจรรย์มีประโยชน์มากมาย ซึ่งขณะนั้นก็ไม่เคยรู้จักผลไม้ชนิดนี้มาก่อน และไม่ได้เชื่อในสิ่งที่เพื่อนอธิบายนัก เพราะในความคิดของเราหากขึ้นชื่อว่ามะเดื่อแล้ว เป็นผลไม้ที่มีแต่แมลงหวี่ และคนไทยไม่ได้นิยมบริโภคมากนัก แต่ด้วยความที่ไม่อยากขัดใจเพื่อน เมื่อเพื่อนนำต้นมะเดื่อฝรั่งพันธุ์ญี่ปุ่นมาขายให้จำนวน 50 ต้น ราคาต้นละ 300 บาท ก็เลยซื้อมาปลูก เพราะเห็นว่าในบ้านพอมีพื้นที่อยู่บ้าง (พื้นที่รวมบ้านประมาณ 1ไร่)

เมื่อปลุกไปได้ 6 เดือน มะเดื่อออกผลเยอะแยะไปหมดเก็บไปฝากเพื่อนๆ ไม่มีใครสนใจสักคน ไม่มีใครรู้จัก แถมบางคนถามกลับมาอีกว่าเอาลูกอะไรมาให้กิน ก็เลยไม่ได้สนใจต้นมะเดื่ออีกเลย ปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ 1 ปีเต็ม และหันไปทำธุรกิจอื่น แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเราไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน จนกระทั่งวันหนึ่งมีญาติมาเยี่ยมและเห็นต้นมะเดื่อฝรั่ง พร้อมกับบอกว่ากำลังหากิ่งตอนมะเดื่อฝรั่ง 1,000 กิ่ง เพราะมีคนสั่งซื้อมา จึงเป็นที่มาของการเริ่มต้นอย่างจริงจัง โดยจัดการดูแลต้นมะเดื่ออีกครั้งและทำการตอนกิ่งส่งขาย เมื่อเริ่มมีรายได้ก็เริ่มมีความหวัง จึงศึกษาข้อมูล และหากลุ่มคนที่ปลูกมะเดื่อฝรั่งเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล การตลาด และได้ขยายพันธุ์ปลูกเพิ่ม รวมถึงซื้อพันธุ์ใหม่ๆ เข้ามาปลูกเสริม จนปัจจุบันมีตันมะเดื่อ 170 ต้น (ในวงบ่อ) โดยพันธุ์หลัก คือ ญี่ปุ่น และมีพันธุ์อื่นๆ เช่น ไวท์ จีนัว, บราวตรุกี, ออสเตรเลีย, กรีนอีสชู, อินคาโก, แบล็คแจ็ค, ดอร์ฟินส์, แบล็คมิชชั่น, อัลม่า, คิงส์, คอร์นาเนีย, ดาโคต้า, ควอนติโก และคุณหมิง เป็นต้น ซึ่งนอกจากปลูกที่บ้านแปดริ้วแล้ว ยังปลูกไว้ที่วังน้ำเขียวอีกประมาณ 300 ต้น สำหรับรับรองการขยายกิ่งพันธุ์จำหน่าย
มะเดื่อที่สวนจะเป็นพันธุ์ญี่ปุ่นเป็นหลัก ส่วนพันธุ์อื่นๆ ปลูกเสริมอย่างต้นสองต้น เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ที่ต้องการสายพันธุ์อื่นๆ บ้างสาเหตุที่เน้นพันธุ์ญี่ปุ่นเพราะปลูกง่าย และมีการศึกษาจาโครงการหลวงยืนยันแล้วว่าเหมาะสมกับการปลูกในสภาพแวดล้อมประเทศไทย และ จากการทดสอบด้วยตนเอง โดยเรียบเทียบมะเดื่อพันธุ์ญี่ปุ่นและพันธุ์อื่นๆ ที่ปลูกพร้อมกัน พบว่าพันธุ์ญี่ปุ่นเจริญเติบโตได้ดีกว่า ให้ผลผลิตเร็วกว่า อีกทั้งรสชาติของพันธุ์ญี่ปุ่น หวานกรอบ อร่อยกว่า และหากจะปลูกเพื่อขายผล พันธุ์ญี่ปุ่นมีน้ำดีกว่าพันธุ์อื่นๆ ประมาณ 20-23 ลูกต่อกิโลกรัม ส่วนพันธุ์อื่น ต้อง 25 ลูกขึ้นไป (ข้อมูลจากประสบการณ์)
การขยายพันธุ์มะเดื่อของสวนเป็นวิธีตอนกิ่ง ซึ่งปัจจุบันกิ่งพันธุ์มะเดื่อที่จำหน่ายกันทั่วไปจะมีทั้งตอนกิ่งและปักชำ มีข้อดีข้อเสียต่างกันไป แต่ที่สวนจะตอนกิ่งจากหมด โดยจากที่มีความเห็นส่วนตัวว่า กิ่งพันธุ์ที่มาจากกิ่งตอนจะเร็วกว่ากิ่งชำ เพราะระบบรากแข็งแรงกว่า เพราะการชำส่วนใหญ่จะชำจากขี้เถ้า แต่เมื่อนำมาปลูกจะปลูกด้วยขุยมะพร้าว จึงอาจทำให้การเติบโตอาจหยุดชะงัก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากิ่งชำไม่ดี เพียงแต่จะต้องได้รับการดูแลมากกว่ากิ่งชำเท่านั้น
การปลูกมะเดื่อของสวนจะปลูกในวงบ่อเพื่อความสะดวกในการจัดการและบริหารพื้นที่ในการปลูกให้เหมาะสม เนื่องจากมีพื้นที่จำกัด โดยหลังจากการขยายพันธุ์ด้วยวิธีตอนกิ่งจนมีรากขึ้นเต็มแล้วจะย้ายลงกระถางขนาด 5 นิ้ว โดยมีวัสดุ คือ กาบมะพร้าวสับ 1 ส่วน และขุยมะพร้าว 2 ส่วน ไม่ต้องใส่ปุ๋ย รอให้รากเดินเต็มกระถาง จึงย้ายปลูกลงบ่อขนาด 80 เซนติเมตร ไม่ต้องรองพื้น เนื่องจากมะเดื่อฝรั่งเป็นพืชที่มีอายุยืน เมื่อรากเต็มวงบ่อแล้ว รากใหญ่จะแทงลงไปในดินเพื่อหาอาหารหากรองพื้นจะทำให้การเจริญเติบโตหยุดชะงักได้ โดยในวงบ่อจะเตรียมวัสดุปลูกประกอบไปด้วย กาบมะพร้าวสับ 1 กระสอบ ขุยมะพร้าวครึ่งกระสอบ มูลวัว ส่วน ผสมคลุกเคล้ากัน แล้วจึงนำต้นมะเดื่อลงปลูก เมื่อปลูกไปได้ประมาณ 2-3 สัปดาห์ จึงโรยด้วยมูลวัวรอบๆ ทรงพุ่ม ส่วนปุ๋ยเคมีจะใส่ตามความจำเป็น ทั้งนี้ เนื่องจากพืชทุกชนิดจะเจริญเติบโตได้ดีหากได้รับธาตุอาหารครบถ้วนโดยเฉพาะ N-P-K ซึ่งจะใส่สูตรเสมอ 13-13-13 เมื่อปลูกครั้งแรก หลังจากนั้นจะใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรือมูลวัวเท่านั้น แต่มีข้อสังเกตจากประสบการณ์ของตนเองว่า ในการเลือกใช้มูลวัวควรหลีกเลี่ยงมูลวัวที่เลี้ยงด้วยเปลือกสับปะรด เพราะจะทำให้ต้นมะเดื่อตายได้
การปลูกมะเดื่อฝรั่งผู้ปลูกจะต้องใส่ใจในการจัดการถึงจะประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะปัญหาหนอนด้วงที่มาจากมูลวัวกัดกินรากทำให้รากเน่าโคนเน่า หากพบต้นมะเดื่อเฉา สันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่าน่าจะเกิดหนอนด้วง หากคุ้ยดินดูก็จะพบตัวหนอนดังกล่าวการแก้ปัญหาคือใช้ S 85 ละลายน้ำราดที่โคนต้น หรือรื้อแล้วปลูกในกระถางใหม่ ส่วนปัญหาโรคอื่นๆ ไม่ค่อยพบ
ลุงอ้วน บอกว่า การปลูกมะเดื่อเชิงพาณิชย์ หากเป็นไปได้ควรปลูกในโรงเรือน เพราะมะเดื่อฝรั่งไม่ชอบน้ำฝน หากโดนฝนมักจะเกิดเชื้อราที่ใบ การปลูกในโรงเรือนจะช่วยควบคุมได้ดีกว่าแบบโล่งแจ้ง รวมถึงช่วยป้องกันแมลงได้ดีไม่ต้องใช้เครื่องพ่นยาพ่นสารเคมีฆ๋าแมลงเลย แต่ก็จะมีต้นทุนที่สูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการปลูกกลางแจ้งเชิงพาณิชย์จะไม่ได้ผล เพียงแต่ต้องเพิ่มระบบการจัดการ เช่น เลือกวัสดุปลูกที่น้ำไม่ขัง ควรให้น้ำผ่านเพียงอย่างเดียว และหมั่นเดินตรวจต้นมะเดื่อทุกต้น ทุกวัน
ผลผลิตของสวนที่สร้างรายได้ปัจจุบัน จะมีจาก 2 ส่วน คือ จำหน่ายผล ซึ่งสามารถเก็บผลได้เฉลี่ยวันละ 1-2 กิโลกรัม จำหน่ายกิโลกรัมละ 300 บาท ช่องทางจำหน่ายจะมีทั้งที่มาซื้อที่สวน และสั่งซื้อแล้วส่งทางรถทัวร์ รายได้อีกส่วนหนึ่งมากจากการจำหน่ายกิ่งตอนและต้นพันธุ์ ซึ่งหากเป็นกิ่งตอนไม่ต้องชำ พันธุ์ญี่ปุ่นจะจำหน่ายกิ่งละ 200 บาท หากชำกระถางขนาด 5 นิ้ว ราคา 300 บาท กระถาง 10 นิ้ว ราคา 700 บาท และกระถาง 15 นิ้ว ราคา 1,000 บาท ส่วนสายพันธุ์อื่นอาจสูงกว่านี้เล็กน้อย โดยในแต่ละเดือนมีรายได้เฉลี่ย 50,000-60,000 บาท ถือว่าน่าพอใจมากสำหรับคนวัยเกษียณ และมีพื้นที่จำกัด
“ปัจจุบันถือว่าประสบความสำเร็จในวงการมะเดื่อ มีคนรู้จักมากจากโลกออนไลน์ ซึ่งเป็นช่องทางการแลกเปลี่ยนข้อมูล และช่องทางการตลาดที่สำคัญ ซึ่งแม้จะเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ดี และมีทิศทางการตลาดที่ดีทั้งผล และพันธุ์ต้น แต่ก็คงไม่ขยายไปมากกว่านี้ เพราะต้องการทำเท่าที่ตัวเองจะดูแลได้ทั่วถึง เพราะการปลูกมะเดื่อจะไม่ยุ่งยากแต่ก็ต้องใส่ใจที่จะเรียนรู้เขา จึงสนองในสิ่งที่เขาต้องการแล้วกลับมาเป็นผลผลิตที่ดีให้กับเรา อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมะเดื่อฝรั่งกำลังเป็นพืชกระแสในโลกออนไลน์ซึ่งมีคนที่ทำประสบความสำเร็จอยู่มาก แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยที่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะอาจจะได้รับข้อมูลผิดๆ อยากให้ข้อคิดทุกคนว่าของแท้จะอยู่ทน แต่ของปลอมปนจะไม่ยั่งยืน อยากให้คิดว่ามะเดื่อฝรั่งคือต้นไม้ชนิดหนึ่ง ให้เราทำเพราะเราชอบ อย่าไปปลูกโดยหลงเชื่อว่าอย่างนั้นดี อย่างโน้นดี ให้ยึดที่ตัวเราเป็นที่ตั้ง แล้วจะรู้ว่าเราจะปลูกเพื่ออะไร จะต่อยอดอย่างไร อย่างที่สวนก็กำลังวางแผนที่จะซื้อตู้อบ เพื่อทำมะเดื่ออบแห้ง กรณีที่มีผลผลิตออกมาพร้อมกันมากๆ แล้วขายไม่หมด เราก็แปรรูปถนอมไว้ เป็นการเพิ่มมูลค่าอีกด้วย” ลุงอ้วนกล่าวทิ้งท้าย

ตกลง