“ปุ๋ยคอก” ในมูลสัตว์มีประโยชน์ต่อพืชผักในสวน
ปุ๋ยคอก คือปุ๋ยอินทรีย์ที่ได้จากมูลสัตว์ต่างๆ ที่อยู่ในรูปของเหลวและของแข็ง ส่วนใหญ่จะเป็นมูลสัตว์เลี้ยง เช่นมูลวัว ไก่ เป็ด สุกร ประกอบด้วยอุจจาระและปัสสาวะของสัตว์ ซึ่งเป็นส่วนของซากพืชและสัตว์จากอาหารที่สัตว์ผ่านกระบวนการย่อยสลายจากระบบย่อยอาหาร
ธาตุอาหารใน ปุ๋ยคอก จะมีปริมาณมากน้อยแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น วิธีการเลี้ยง การเก็บรักษา แหล่งที่อยู่ของสัตว์ นอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อพืชผักแล้ว ยังช่วยป้องกันรักษาหน้าดินและบำรุงดินให้เหมาะสมกับการปลูกพืชด้วย
ประโยชน์ของปุ๋ยคอก
1.เพิ่มธาตุอาหารพืชปุ๋ยคอกในส่วนที่เป็นองค์ประกอบที่เป็นของแข็งมีลักษณะคล้ายคลึงกับอาหารที่สัตว์นั้นบริโภค เมื่อสัตว์กินอาหารเข้าไป ธาตุอาหารในอาหารจะถูกนำไปใช้ไปเพียงบางส่วน โดยทั่วไปจะพบว่าปริมาณธาตุอาหารที่ถูกใช้ในการเจริญเติบโต โดยประมาณ 3/4ของธาตุไนโตรเจน 4/5 ของธาตุฟอสฟอรัส และ 9/10 ของธาตุโพแทสเซียม ดังนั้นในสิ่งขับถ่ายหรือมูลสัตว์จะดงเหลือธาตุอาหารอยู่ ปุ๋ยคอกจึงเป็นแหล่งธาตุอาหารหลักและรองที่สำคัญแหล่งหนึ่ง
2.ให้ธาตุอาหารพืชในลักษณะต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพในระยะเวลานานกว่าปุ๋ยเคมี
3.ช่วยปรับปรุงดิน การใช้ปุ๋ยคอกในอัตราที่เหมาะสมต่อเนื่องติดต่อกันนานๆ จะช่วยปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพของดินบางประการได้
4.ช่วยกระตุ้นให้สาหร่ายและแพลงตอนพืช ซึ่งเป็นอาหารปลาในบ่อสามารถเจริญเติบโตได้ดี นอกจากปุ๋ยคอกจะมีธาตุอาหารต่างๆ แล้ว ยังมีวิตามินหลายชนิดที่ส่งเสริม การเติบโตของสาหร่าย เช่น วิตามินบี 12 ไทอะมีน และไบโอติน ปุ๋ยคอกที่ใช้ในบ่อปลา ส่วนใหญ่เป็นปุ๋ยคอกจากมูลสุกร ใส่ในอัตรา 250 – 500 กิโลกรัมต่อบ่อปลา 1 ไร่ โดยใส่ 6 เดือนต่อครั้ง ถ้าใส่ปุ๋ยคอกมากไปจะมีผลทำให้น้ำเสีย เกิดกลิ่นและขาดออกซิเจน เป็นอันตรายต่อการเจริญเติบโตของสาหร่ายได้ การใช้ปุ๋ยคอกในบ่อปลาทำได้หลายวิธี เช่น การใส่ปุ๋ยคอกแห้งหรือสดให้ทั่วบ่อ ใส่ในน้ำหรือใส่พื้นกันบ่อเมื่อน้ำแห้ง หรือนำปุ๋ยดอกละลายน้ำแล้วสาดให้ทั่วทั้งบ่อ หรือล้างคอกสุกรให้น้ำชะล้างมูลลงในบ่อโดยตรงก็ได้
รู้ประโยชน์ของปุ๋ยคอกแล้ว มาดูกันว่าแหล่งที่มาจากสัตว์แต่ละชนิดมีปริมาณธาตุอาหารมากน้อยแตกต่างกันมากแค่ไหน และใช้อย่างไรให้ถูก พืชได้ประโยชน์ครบตามต้องการ
มูลไส้เดือน
N ไนโตรเจน 0.995%
P ฟอสฟอรัส 0.669%
K โพเทสเซียม 1.487%
เหมาะสำหรับบำรุงต้น ราก ใช้ในช่วงที่พืชกำลังเติบโต ใช้เป็นส่วนผสมของวัสดุปลูกและวัสดุเพาะกล้าพืชได้ ช่วยให้ดินมีโครงสร้างดีขึ้น ระบายน้ำและอากาศได้ดี และเก็บความชื้นได้มากขึ้น ช่วยให้ระบบรากพืชกระจายตัวในดินได้ดีขึ้น
มูลโค
N ไนโตรเจน 1.25%
P ฟอสฟอรัส 0.01%
K โพเทสเซียม 2.12%
เหมาะกับพืชในช่วงขยายราก บำรุงรากได้ดี ใช้เตรียมดินโดยใส่ในอัตรา 1-3 กิโลกรัมต่อตารางเมตร แล้วหมักทิ้งไว้ 15-30 วันก่อนปลูกพืช ควรใช้มูลเก่าเพราะมูลสดทำให้เกิดความร้อนและมีการดึงไนโตรเจนจากดินไปใช้ พืชอาจมีอาการใบเหลืองและตายได้
มูลหมู
N ไนโตรเจน 1.30%
P ฟอสฟอรัส 2.40%
K โพเทสเซียม 1.00%
เหมาะสำหรับไม้ผลบำรุงในช่วงติดดอก อาจนำมูลเหลวจากคอกไปลงบ่อหมักก๊าซชีวภาพแล้วเอามาเป็นปุ๋ยใส่พืชได้ และยังได้ก๊าซชีวภาพที่นำไปใช้หุงต้มหรือใช้ในฟาร์มได้ด้วย
มูลไก่
N ไนโตรเจน 1.67%
P ฟอสฟอรัส 3.32%
K โพเทสเซียม 2.41%
เป็นปุ๋ยคอกที่มีธาตุอาหารสูง เหมาะกับพืชทุกชนิด ใช้ได้ทุกช่วงที่พืชเติบโต ปริมาณธาตุอาหารขึ้นอยู่กับวัสดุรองพื้น
มูลค้างคาว
N ไนโตรเจน 1.54%
P ฟอสฟอรัส 14.28%
K โพเทสเซียม 0.60%
มูลค้างคาวมีธาตุอาหารพืชหลายชนิด เหมาะสำหรับใส่ไม้ผล เช่น ทุเรียน ลิ้นจี่ กล้วยหอม ลำไย และมะม่วง เหมาะสำหรับบำรุงพืชช่วงเวลาติดดอก แต่ปัจจุบันมูลค้างคาวเป็นปุ๋ยที่หายาก จึงมีราคาสูง
มูลกระบือ
N ไนโตรเจน 1.01%
P ฟอสฟอรัส 0.30%
K โพเทสเซียม 0.58%
เหมาะสำหรับบำรุงต้น ช่วยเร่งการเติบโตของพืช ควรใช้มูลแห้งเช่นเดียวกับมูลโค เหมาะสำหรับใส่รอบโคนต้นไม้ผล หรือรองก้นหลุมก่อนปลูกไม้ต้น
มูลเป็ด
N ไนโตรเจน 1.02%
P ฟอสฟอรัส 1.84%
K โพเทสเซียม 0.54%
เหมาะกับบำรุงพืชในช่วงเติบโต บำรุงในช่วงติดดอก
ขอบคุณที่มา : เว็บไซต์ baanlaesuan.com