ประชาสัมพันธ์เลี้ยงปลากระชัง เน้นแปรรูปเพิ่มมูลค่าสร้างรายได้
12 พ.ย. 2564
149
0
ประชาสัมพันธ์เลี้ยงปลากระชัง
ประชาสัมพันธ์เลี้ยงปลากระชัง เน้นแปรรูปเพิ่มมูลค่าสร้างรายได้
คุณชัยวัฒน์ สุขสำแดง เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในกระชังที่ประสบผลสำเร็จมากว่า 20 ปี โดยเขาได้ใช้พื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำให้เกิดประโยชน์ ด้วยการมาเลี้ยงปลาในกระชังในแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งมีข้อดีคือกระชังของเขาอยู่เหนือเขื่อนจึงทำให้มีน้ำเลี้ยงปลาได้ตลอดทั้งปี
.
ในขั้นตอนแรกจะนำปลามาอนุบาลภายในกระชังที่อยู่ภายในแม่น้ำเจ้าพระยา โดยเลือกซื้อลูกพันธุ์ปลาจากแหล่งที่เชื่อถือได้มาอนุบาล โดยลูกปลาทับทิมจะนำมาอนุบาลในกระชังที่มีขนาด 5 X 5 เมตร โดยใช้เวลาประมาณ 45 วัน จากนั้นก็จะนำมาแยกใส่กระชังอื่นๆ ต่อไป เพื่อไม่ให้ภายในกระชังมีปลาหนาแน่มากเกินไป
.
ช่วงแรกปลาทับทิม เราก็จะให้กินอาหารเม็ดเล็กที่มีเปอร์เซ็นตฺโปรตีน 60 ให้กินแบบนี้ประมาณ 15 วัน เสร็จแล้วเราก็จะเปลี่ยนไปเป็นอาหารที่มีขนาดเม็ดใหญ่ขึ้น ก็จะมีขนาดเม็ดที่ใหญ่ขึ้นและเปอร์เซ็นต์โปรตีนก็จะค่อยๆ ลดลงมาด้วย พอลูกปลาทับทิมที่อนุบาลได้อายุที่กำหนดก็จะแยกให้ 1 กระชังมีปลาทับทิมประมาณ 1,000 – 1,500 ตัวต่อกระชัง เลี้ยงไปอีกประมาณ 4 เดือน
.
ส่วนด้านปลากดคังนั้น คุณชัยวัฒน์ บอกว่า จะนำลูกปลามาอนุบาลประมาณ 4-6 เดือน จากนั้นเลี้ยงไปอีกให้มีอายุประมาณ 1 ปี 8 เดือน ก็จะได้ปลากดคังขนาดไซซ์ตามที่ตลาดต้องการ โดยปลาแต่ละชนิดก็จะมีอายุการเลี้ยงที่แตกต่างกันไป
.
จึงทำให้สามารถจับแบบสลับหมุนเวียนได้ ทำให้สามารถมีเงินนำมาใช้จ่ายอย่างไม่ขาดมือในการลงทุน ซึ่งเขาบอกบอกการทำตลาดที่ดีคือต้องมีปลาให้ลูกค้าตลอด โดยที่การส่งขายต้องไม่ขายช่วง ก็จะทำให้ลูกค้าเชื่อใจในการทำธุรกิจ
.
ซึ่งปลาที่เขาเลี้ยงทั้งหมดปลาทับทิมจะอ่อนแอมาก เมื่อเข้าสู่ระยะน้ำเป็นสีแดงในช่วงฤดูฝน โดยเขาจะหมั่นค่อยสังเกตและควบคุมการให้อาหารอย่างใกล้ชิดเพื่อเป็นการป้องกัน พร้อมทั้งมีการดูแลป้องกันโรคอยู่เป็นระยะ
.
ในเรื่องของการเลี้ยงจะเน้นชำแหละขายเองที่หน้าฟาร์มตกวันละ 40-50 กิโลกรัมต่อวัน และนำมาทอดขายเป็นกับข้าวให้กับลูกค้าในชุมชนทุกเช้า ก็สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าได้อีกหนึ่งช่องทาง
.
ปลาทับทิมขายอยู่ที่หน้าฟาร์มกิโลกรัมละ 70 บาท ปลากดคังขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 150 บาท โดยปลากดคังขนาดไซซ์ที่ขายได้ต้องให้มีน้ำหนักประมาณ 2 กิโลกรัมขึ้นไป ส่วนปลาสังกะวาดขายอยู่ที่หน้าฟาร์มกิโลกรัมละ 110 บาท
.
ซึ่งสามารถทำตลาดขายปลีกได้ มีสินค้าขายออกได้ทุกวัน ตลอดก็จะไม่หายไปไหน และราคาก็ดีกว่าการขายส่งอย่างแน่นอน โดยต้องทำตลาดให้มีความหลลากหลายช่องทางที่ที่จะเลี้ยงมีแหล่งน้ำที่เพียงพอมากน้อยเพียงใด จากนั้นให้ศึกษาวิธีการเลี้ยงจากผู้ที่ประสบผลสำเร็จ
ตกลง