ผู้เขียน |
ทวีศักดิ์ ชัยเรืองยศ |
เผยแพร่ |
|
ลักษณะของฝรั่งพันธุ์พิจิตร 2 การปลูก และการดูแล
ฝรั่ง เป็นผลไม้ที่ปลูกง่าย สามารถผลิตได้ทั้งปี โดยในบ้านเราผลผลิตส่วนใหญ่จะมีจำหน่ายมากในช่วงเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม และมีจำหน่ายน้อยในช่วงเมษายนของทุกปี ซึ่งชาวสวนฝรั่งโดยมากจะเลี่ยงการผลิตฝรั่งออกในช่วงเดือนเมษายน เพราะเป็นช่วงที่ผลไม้จากภาคตะวันออก ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลใหญ่ของผลไม้บ้านเราออกสู่ตลาดหลายชนิด และมีจำนวนมาก ซึ่งเป็นที่รู้กันของชาวสวนฝรั่งว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่ มะม่วง เงาะ ทุเรียน มังคุด ออกสู่ตลาดเมื่อไหร่ เมื่อนั้นผลไม้ชนิดอื่นแทบหมดความสำคัญ และช่วงนั้นจะเป็นช่วงตกต่ำของผลไม้ชนิดอื่น เพราะเป็นช่วงที่มีผลไม้ออกสู่ตลาดมากที่สุดนั่นเอง
ส่วนช่วงที่ฝรั่งมักมีราคาสูงจะเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีผลไม้ชนิดไหนออกสู่ตลาด อย่างช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม ช่วงนั้นราคาฝรั่งจะสูงถึง 25-40 บาท/กิโลกรัม กับอีกช่วงคือเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งบ้านเราจะมีเทศกาลต่างๆ มากในช่วงนี้ ในบ้านเรามีฝรั่งที่ปลูกในเชิงการค้าหลายสายพันธุ์ โดยสายพันธุ์หลักๆ ก็จะมีฝรั่งแป้นสีทอง, กิมจู และรองลงมาก็จะมี ขาวอัมพร, ฝรั่งไร้เมล็ด, พันธุ์แป้นไส้แดง, กรอบสามสี ,ทับทิมสยาม และในยุคที่ฝรั่งสายพันธุ์ใหม่ๆ จากไต้หวันเข้า ก็จะมีสายพันธุ์หงส์เปาสือ, ซีกวา, เฟิ่นหงส์มี่, เหวินหง, เจินจู, สุ่ยหมี่ เป็นต้น
ข้อดีของฝรั่ง นอกจากจะปลูกง่ายแล้ว ยังให้ผลผลิตได้เร็ว คือ หลังปลูกไปแล้วเพียง 6 เดือน ขึ้นไป ก็สามารถออกดอกและติดผลได้บ้างแล้ว ทำให้เกษตรกรที่เริ่มทำสวนหรือปลูกใหม่มีรายได้เร็วกว่าไม้ผลชนิดอื่นๆ ที่ต้องรอเวลาอย่างน้อย 2-4 ปี ขึ้นไป เป็นพืชที่สามารถบังคับให้ออกดอกติดผลได้หลายวิธี ซึ่งที่นิยมคือ การตัดแต่งกิ่ง หรือปลายใบของกิ่ง รองลงมาก็จะเป็นการโน้มกิ่ง เป็นต้น ทำให้เกษตรกรสามารถคาดการณ์กำหนดให้ผลผลิตออกสู่ตลาดตามที่เกษตรกรต้องการได้
ฝรั่งสายพันธุ์ดีของจังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ “สวนคุณลี” อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร ได้คัดเลือกจากการนำเมล็ดมาเพาะ และคัดเลือกนานหลายปีจนได้ฝรั่งสายพันธุ์ดี เนื้อดี รสชาติหวาน กรอบ 2 สายพันธุ์ คือ ฝรั่งพันธุ์ “พิจิตร 1” (ผิวผลสีเขียว เนื้อขาว) และฝรั่งพันธุ์ “พิจิตร 2” (ผิวผลสีแดง เนื้อแดง)
ฝรั่งพันธุ์ “พิจิตร 2”
ผิวผลมีสีแดง เนื้อสีแดงอมม่วง เป็นฝรั่งอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่เกิดขึ้นจากการเพาะเมล็ดของฝรั่งพันธุ์แดงบางกอก หลังจากการเพาะเมล็ด ต้นฝรั่งที่เพาะเมล็ดโตจนออกดอกและติดผล พบว่า มีบางต้นที่แสดงลักษณะที่ดีและดีมากกว่าเดิม คือ ฝรั่งพันธุ์ “พิจิตร 2” ผลมีขนาดใหญ่ เฉลี่ย 350-600 กรัม เนื้อหนา รสชาติหวาน กรอบ ทานอร่อย มีกลิ่นหอม ส่วน ใบ ดอก ผล จะมีสีม่วงแดง สวยมาก และแน่นอน ฝรั่งที่มีผิวและเนื้อสีแดงม่วง ก็จะย่อมมีสารแอนโทไซยานินสูง สีผลฝรั่งเป็นที่สนใจแก่ผู้บริโภคเป็นอย่างมาก และได้ตั้งชื่อพันธุ์ว่า “พันธุ์พิจิตร 2” เพราะต้นแม่เกิดขึ้นที่จังหวัดพิจิตร นั่นเอง
ฝรั่งพันธุ์ “พิจิตร 2” จัดเป็นไม้ผลที่น่าปลูกมาก เนื่องจากสามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกได้เร็วสำหรับการปลูกไม้ผล กล่าวคือ ปลูกเพียง 6 เดือน ต้นสามารถออกดอกและติดผลแล้ว และสามารถเก็บผลผลิตขายได้ภายใน 1 ปี เท่านั้น ซึ่งตอนนี้สวนคุณลี จำหน่ายผลฝรั่งพันธุ์ “พิจิตร 2” ได้กิโลกรัมละ 50 บาท ออกจากหน้าสวน ถือว่าเป็นผลไม้ที่มีมูลค่าในการจำหน่ายที่ค่อนข้างดี ถ้าเทียบกับไม้ผลหลายๆ ชนิด ที่มีการดูแลที่มากและนานกว่า ซึ่งตอนนี้ สวนคุณลี ก็ขยายพื้นที่ปลูกมากขึ้น เพื่อให้ผลผลิตเพียงพอต่อความต้องการของตลาด สำหรับท่านที่สนใจผลผลิต หรือต้นพันธุ์ฝรั่งแท้จากต้นตำรับ ติดต่อได้ที่ สวนคุณลี โทร. (081) 886-7398, (056) 613-021 หรือช่องทาง เฟซบุ๊ก : สวนคุณลี
การปลูกฝรั่งให้ความสำคัญในเรื่องของสภาพดินปลูก ที่จะต้องเป็นดินที่มีการระบายน้ำที่ดี และมีอินทรียวัตถุสูง เป็นที่สังเกตว่า การนำกากอ้อยมาใช้เป็นปุ๋ยหมักในการปรับโครงสร้างของดิน และที่เน้นเป็นพิเศษ คือ จะต้องมีการตรวจเช็กค่าความเป็นกรด-ด่างของดิน เมื่อดินเป็นกรด จะแนะนำให้ใส่ปูนโดโลไมท์ ระยะการปลูกมีหลายระยะตามความเหมาะสมของแต่ละสวน เช่น 2.5×3 เมตร, 3×3 เมตร, 4×4 เมตร เป็นต้น ยกตัวอย่าง ถ้าระยะปลูกระหว่างแถวและระหว่างต้น ประมาณ 3×3 เมตร ในเนื้อที่ 1 ไร่ จะปลูกฝรั่งได้ประมาณ 160 ต้น มีคำแนะนำเพิ่มเติมว่า
การใช้ระยะปลูกที่ห่างพอสมควร มีส่วนช่วยในเรื่องของระบบการถ่ายเทอากาศที่ดี มีส่วนช่วยลดปัญหาโรคและแมลงได้ แล้วบางสวนเอาเครื่องจักร หรือรถขนาดเล็กเข้าทำงานก็จะง่าย ดังนั้น ระยะปลูกก็ต้องปลูกห่างออกไป เพื่อให้ใช้เครื่องจักรเข้าทำงานสะดวก
การเตรียมหลุมปลูก
ขนาดของหลุมปลูกควรกว้าง ประมาณ 1 หน้าจอบ ถ้าเป็นดินร่วน แต่ถ้าเป็นดินที่ไม่ดี จำเป็นต้องขุดหลุมกว้างขึ้น เพื่อเปลี่ยนสภาพดินในหลุมให้ดีขึ้น ดังนี้ ควรขุดดินโดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ดินบน และดินล่าง ดินบน เป็นส่วนที่มีอินทรียวัตถุมากอยู่แล้ว ให้แยกไว้ส่วนหนึ่ง ดินล่าง คือดินที่เมื่อขุดลึกลงไปแล้วพบว่า ดินมีสีจางลง เป็นชั้นที่ไม่มีอินทรียวัตถุ ตากดินไว้ 10-15 วัน เพื่อให้แสงแดดส่องฆ่าเชื้อโรคในหลุมปลูกและในดิน กลบดินบนลงในหลุม ผสมปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยหมัก 1 ส่วน ต่อดิน 2 ส่วน โรยสารสตาร์เกิล จี (สารไดโนทีฟูแรน) ซึ่งเป็นสารป้องกันกำจัดแมลงชนิดเม็ดสำหรับรองก้นหลุม และโรยรอบๆ โคนต้น ซึ่งสารสตาร์เกิล จี จะช่วยป้องกันแมลง เช่น มด, ปลวก ที่เข้ามากัดกินรากของต้นกล้าได้ตั้งแต่เริ่มปลูก รวมถึงยังป้องกันการทำลายของแมลงปากดูด เช่น เพลี้ยแป้ง, เพลี้ยอ่อน, แมลงหวี่ขาวบริเวณยอดอ่อนของฝรั่ง สามารถคุมได้นาน 30-45 วัน แล้วจึงนำต้นฝรั่งลงในหลุมทับชั้นดินบน จนมีระดับสูงกว่าระดับพื้นดินธรรมดาประมาณ 10 เซนติเมตร การที่ต้องกลบดินให้สูงกว่าระดับดินเดิมนั้น เพื่อที่เมื่อเวลาปลูกแล้ว ต้นจะยุบตัวลงเล็กน้อย ซึ่งจะทำให้พอดีระดับดินเดิม ถ้าไม่เผื่อไว้จะเป็นแอ่ง และมีน้ำขังทำให้รากเน่าตายได้
วิธีปลูกฝรั่ง
หลังจากเตรียมหลุมปลูกเรียบร้อยแล้ว ให้นำกิ่งพันธุ์ปลูกลงในหลุม กลบดินให้แน่นพอสมควร แล้วใช้ไม้ปักเป็นหลักผูกกันลมโยก และรดน้ำทันที จากนั้นใช้ทางมะพร้าวมาคลุมพรางแสงแดดให้แก่ต้นฝรั่งจนกว่าต้นฝรั่งจะตั้งตัวได้ แต่ถ้าต้นฝรั่งมีความแข็งแรงดีอยู่แล้ว ในถุงดำระบบน้ำดี ก็ไม่จำเป็นต้องทำที่บังแดดให้แต่อย่างใด
การปักไม้ค้ำกันลม ในระหว่างที่ต้นฝรั่งยังเล็กอยู่ ควรปักไม้ค้ำต้นฝรั่งกันลม เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นโยก เพราะอาจกระทบกระเทือนทำให้ต้นฝรั่งไม่โต การปักไม้ค้ำกันลม ควรใช้ไม้รวก หรือแขนงไม้ไผ่ ยาว 1 เมตร ค้ำกิ่งต้นละ 1-2 อัน และใช้เชือกพลาสติกผูกติดกับกิ่ง แต่อย่าผูกให้แน่นมาก เพราะอาจเจริญเติบโตช้า การค้ำต้นฝรั่ง ฝรั่งจะเริ่มออกผลเมื่อประมาณ 6 เดือนขึ้นไป ควรใช้ไม้ไผ่ปักไว้เพื่อพยุงต้นฝรั่ง โดยใช้ปลาย หรือไม้ไผ่ขนาดเล็ก ยาว 1 เมตร หรือมากกว่านั้น ปักใกล้กับกิ่งที่ออกผลแล้ว ควรยึดกับกิ่งไว้บางส่วน จะผูกขั้วผลกับกิ่ง หรือไม้ปัก เพื่อไม่ให้ผลถ่วงต้น เพราะน้ำหนักผลฝรั่งมาก ถ้ามีลมพัดแรงต้นจะเฉาตายและรากจะขาด
การให้น้ำฝรั่ง หลังจากปลูกฝรั่งแล้ว ต้องหมั่นคอยรดน้ำในช่วงระยะแรก จนกว่าต้นฝรั่งจะตั้งตัวได้ดี หลังจากนั้นก็สังเกตดูความชุ่มชื้นของดิน ถ้าดินแห้งมากต้องรีบให้น้ำ และถ้ามีฝนตกหนักก็ควรสำรวจระบายน้ำออกจากแปลงถ้าน้ำท่วมขัง การให้น้ำจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามความต้องการของต้นฝรั่ง ช่วงของการเจริญเติบโต
การใส่ปุ๋ย เบื้องต้นนั้น โดยปกติการปลูกพืชทุกชนิด ควรมีการใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีสูตรอย่างต่อเนื่อง ใช้ให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตในช่วงนั้นๆ โดยเฉพาะฝรั่งที่มีการออกผลดก และติดผลจำนวนมากเกือบตลอดทั้งปี ที่แนะนำ คือ ใช้สูตรเสมอ เช่น 15-15-15, 16-16-16, 19-19-19 เป็นต้น ใช้เป็นสูตรยืนพื้น ก่อนตัดแต่งกิ่งฝรั่ง ก็จะเปลี่ยนเป็นปุ๋ยสูตร 8-24-24 เพื่อให้ต้นได้มีการสะสมอาหาร จนออกดอก และติดผลขนาดเล็ก พร้อมที่จะห่อผล จากนั้นก็จะมาสลับสูตรปุ๋ยที่มีตัวหน้าสูง (เพื่อขยายขนาดผล) และตัวท้ายสูง (เพิ่มคุณภาพและความหวาน) เช่น ปุ๋ยสูตร 21-7-14, 11-6-25, 13-10-21, 8-24-24, 13-13-21 เป็นต้น
โดยการใส่ปุ๋ยจะเน้นการให้อัตราที่น้อย แต่ใส่ให้บ่อยครั้ง ซึ่งค่อนข้างได้ผลดี หากจะให้ฝรั่งมีการสร้างเนื้อที่ดี มีรสชาติที่ดียิ่งขึ้น ให้ฉีดพ่นปุ๋ยทางใบสูตรที่มีสูตรคล้ายๆ กับปุ๋ยทางดินให้สอดคล้องกัน แต่เน้นสูตรปุ๋ยที่มีสูตรตัวท้ายสูงๆ เช่น ปุ๋ยไฮโปส (10-4-36), ปุ๋ยเฟอร์ติไจเซอร์ (3-16-36) เป็นต้น ฉีดสัปดาห์ละครั้ง ประมาณ 2-3 ครั้ง เพื่อสร้างคุณภาพผล เช่น เพิ่มขนาดผล สร้างเนื้อ และความหวาน ฝรั่งมีรสชาติหวาน กรอบ