เกษตรกรสตูล ปลูกผักสลัดบนกระเบื้อง ผักโตดี ไม่ง้อเคมี เก็บขายส่งห้าง รายได้งาม
วันพุธที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ.2566
คุณสมศักดิ์ จันทรักษ์ หรือ พี่ศักดิ์ เจ้าของสวนผักตาหวาน ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 3 บ้านควนล่อน ตำบลควนกาหลง อำเภอควนกาหลง จังหวัดสตูล อดีตเกษตรกรชาวสวนยาง ตัดสินใจโค่นต้นยางพารา เพื่อใช้พื้นที่มาทำโรงเรือนปลูกผัก ทำไปทำมาได้ผลดีเกินคาด พลิกชีวิตจากเกษตรกรผู้มีรายได้น้อย สู่เกษตรกรตัวอย่างมีเงินเก็บเดือนละ 20,000-30,000 บาท จากการปลูกผักส่งห้างสรรพสินค้า
พี่ศักดิ์ เล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนตนเองประกอบอาชีพเป็นเกษตรกรทำสวนยาง สวนปาล์มน้ำมัน บนพื้นที่รวมทั้งหมดเกือบ 10 ไร่ แต่ในช่วงหลายปีหลังมานี้สถานการณ์ราคายางพาราไม่สู้ดีนัก ประสบปัญหารายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย เพราะมีรายได้จากการกรีดยางเพียงวันละ 200-300 บาท ซึ่งถ้าหากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปทั้งลูกและภรรยาจะไม่มีอนาคตที่สดใสแน่นอน จึงมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงพื้นที่สวนยางมาทำการเกษตรอย่างอื่นให้มีรายได้มาจุนเจือครอบครัวมากขึ้น
คุณสมศักดิ์ จันทรักษ์ หรือ พี่ศักดิ์
โดยได้รับคำแนะนำจากเกษตรอำเภอ ให้เข้าอบรมศึกษาหาความรู้หลักสูตรการทำการเกษตรในด้านอื่นๆ ที่นอกเหนือจากการทำสวนยางและสวนปาล์มน้ำมัน ก็เริ่มเปิดใจและได้เข้าร่วมอบรมหาความรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเรื่อยๆ จนได้มาเจอกับหลักสูตรการปลูกผักบนกระเบื้อง เป็นหลักสูตรที่ถูกใจและคิดว่าจะนำมาต่อยอดที่บ้านเองได้
“หลังจากที่อบรมเสร็จ ผมก็ได้กลับมาทดลองปลูกผักที่บ้าน เริ่มต้นทำจากง่ายๆ แบบยังไม่ได้มีการทำโรงเรือนปลูกผักตามมาตรฐานทั่วไป แต่จะใช้วิธีการนำล้อยางรถยนต์มาซ้อนกัน 2 ชั้น แล้วนำไม้มาพาด แล้วก็นำกระเบื้องมาวางทับอีกชั้น เพราะเป็นวิธีที่ไม่ต้องลงทุนเยอะ จากนั้นก็ค่อยๆ หาความรู้เรื่องการผสมดินปลูกจากยูทูบบ้าง จากกูเกิลบ้าง ดูจนเข้าใจในเรื่องการผสมดินปลูกในระดับหนึ่ง ก็เริ่มปลูกจาก 1 แปลง มีขนาดความกว้างประมาณ 7 เมตร ยาว 1.3 เมตร และทดลองปลูกจากผักสวนครัวก่อน ไม่ว่าจะเป็นกวางตุ้ง ผักกาดขาว คะน้า ปลูกแบบอินทรีย์ 100 เปอร์เซ็นต์ เน้นใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักในการบำรุง และพอถึงเวลาเก็บเกี่ยวผักก็โตดี รสชาติหวานกรอบ ส่วนหนึ่งเก็บมาบริโภคเอง เหลือก็เอาไปขาย แล้วพอนำไปขายก็เริ่มเห็นเงิน จึงเริ่มเกิดแนวคิดว่าการปลูกผักขายน่าจะเป็นอีกหนึ่งอาชีพสร้างเงินได้ไม่น้อย”
สภาพแปลงปลูกผักบนกระเบื้อง ดูแลจัดการง่าย
จากนั้นจึงได้มีการศึกษาการทำน้ำหมักต่อจากปราชญ์ชาวบ้านหลายๆ ท่าน แล้วนำมาประยุกต์ทำเป็นน้ำหมักสูตรของตนเอง เรียกว่า “น้ำหมักปลาตาหวาน” และได้มีการพัฒนาการทำน้ำหมักสูตรอื่นๆ เพิ่มเติมอีกเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนนมสด น้ำหมักเศษอาหาร น้ำหมักสับปะรด จุลินทรีย์หน่อกล้วย จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง จนมาถึงการทำสารไล่แมลงเอง คือการทำน้ำหมักเหล้าขาว และน้ำหมักยาสูบ เพราะมีเป้าหมายว่าที่สวนจะปลูกแต่เฉพาะผักอินทรีย์เท่านั้น
“บัตเตอร์เฮด” ต้นใหญ่ น่ากิน
ปลูกผักสลัดบนกระเบื้อง ดูแลจัดการน้อย
ผักโตดี รสชาติหวานกรอบ ขายได้ราคา
เจ้าของบอกว่า หลังจากที่ตัดสินใจโค่นยางพาราทิ้ง ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงพื้นที่มาปลูกผักตั้งแต่ปี 2561 นับเป็นเวลาเกือบ 5 ปี ที่คลุกคลีอยู่กับการปลูกผัก ก็ถือได้ว่าล้มลุกคลุกคลานมาไม่น้อย กว่าที่จะได้เทคนิคการปลูกผักยังไงให้ได้ผลผลิตดี แต่ใช้เวลาในการจัดการดูแลที่ไม่ยุ่งยาก
“กรีนโอ๊ค” ปลูกบนกระเบื้องได้ผลผลิตดี
ข้อดีของการปลูกผักยกแคร่บนกระเบื้องมีข้อดีดังนี้
1. ปลอดภัยจากศัตรูพืช และสะดวกในการจัดการดูแล ทั้งในแง่ของสุขภาพที่ไม่ต้องก้มนานๆ ให้ปวดหลัง หน้ามืด และหากมองในมุมมองของธุรกิจ เมื่อคนทำอายุมากขึ้น ถ้าต้องใช้แรงเยอะในขณะที่ร่างกายเราอ่อนแอลง แต่ว่าการทำงานยังคงที่ก็คงแย่
2. ต้นทุนค่าวัสดุปลูกต่ำกว่าการปลูกในกระบะที่ต้องใช้ดินเยอะๆ และมีวิธีการจัดการที่ง่ายกว่า เพราะถ้าหากดินเยอะจำเป็นต้องบริหารจัดการตากดินเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ตรงส่วนนี้ก็จะมีค่าใช้จ่ายของการใช้สารจุลินทรีย์หรือสารชีวภัณฑ์ในการจัดการ แต่การปลูกผักบนกระเบื้องไม่ต้องดูแลจัดการดินให้ยุ่งยาก
“หลังเก็บเกี่ยวเสร็จให้ถอนรากออกให้หมดแล้วตากดินทิ้งไว้ 2 วัน หลังจากนั้นใช้ซ่อมพรวนพลิกตากดินเอาดินข้างล่างขึ้นข้างบน ตากแดดทิ้งไว้อีกประมาณ 2-3 วัน แล้วเข้ากระบวนการใช้ปุ๋ยหมักผสม หรือใช้แกลบเก่า มะพร้าวสับ ที่ผ่านการแช่น้ำมาแล้ว 1 อาทิตย์ เพื่อชะล้างสารเทนนินในกากมะพร้าวออก ที่เป็นตัวการสำคัญทำให้ผักเหลือง จากนั้นนำมาผสมกับดินบนกระเบื้อง แล้วเกลี่ยดินให้เสมอกัน รดน้ำไว้ 1 คืน ตอนเย็นของอีกวันเริ่มย้ายกล้าลงปลูกได้”
3. ผักโตดี เก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็ว เพราะปกติผักสลัดทั่วไปจะใช้เวลาปลูกจนถึงเก็บเกี่ยวประมาณ 45-50 วัน แต่ของที่สวนจะใช้เวลาในการปลูกเพียง 40-45 วัน
“เรดโอ๊ค” สีแดงสวย พร้อมเก็บเกี่ยว
“นอกจากดินดี ทำให้ผักโตดีแล้ว การบริหารจัดการแปลงถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากอยู่ในช่วงฝนตกหนัก โรงเรือนไม่มีหลังคาคลุมบังแดดบังฝนผักจะเกิดความเสียหาย เพราะฉะนั้นที่สวนจะให้ความสำคัญกับโรงเรือนเพาะปลูกด้วย คือจะต้องทำหลังคาคลุมกันฝนกันแดด โดยใช้ผ้ายางใสมุงเป็นหลังคา ที่ต้องมีความหนาไม่ต่ำกว่า 150-200 ไมครอน และกันแสงยูวีได้ไม่ต่ำกว่า 7 เปอร์เซ็นต์ แทนที่แสงจะโดนผักโดยตรง ผ้ายางที่ใช้มุงเป็นหลังคาก็ช่วยลดความร้อนที่จะส่งถึงผักโดยตรง และหากเป็นช่วงที่ฝนตกหนักใบผักจะไม่แตก ดินก็จะไม่แน่น”
เทคนิคการผสมดินปลูก บนแปลงที่ความยาว 6 เมตร กว้าง 1-1.3 เมตร คือมาตรฐานโต๊ะปลูกผักทั่วไป จะมีอัตราการผสมดินดังนี้ 1. ดิน 6 กระสอบ 2. มะพร้าวสับ 2 กระสอบ 3. แกลบเก่า 2 กระสอบ 4. ขุยมะพร้าว 2 กระสอบ 5. แกลบดำ หรือแกลบเผา 1 กระสอบ 6. เปลือกไข่บดเสริมแคลเซียม 1-2 กิโลกรัม 7. ปุ๋ยคอก 6 กระสอบ หรือถ้าใส่ปุ๋ยหมักให้ใส่ 2 กระสอบ เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง จากนั้นใช้น้ำหมัก หรือถ้าไม่มีน้ำหมักให้ใช้ EM ผสมแทน
“มินิคอส” หวานกรอบแน่นอน
โดยของที่สวนจะเลือกใช้น้ำหมักมีอยู่ 3 ตัวหลักๆ ได้แก่ น้ำหมักปลา น้ำหมักจุลินทรีย์หน่อกล้วย และจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง เลือกใช้ตัวใดตัวหนึ่งมาผสมกับน้ำ ในอัตราน้ำหมัก 10 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 10 ลิตร ผสมกับกากน้ำตาลอีก 10 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสมทั้งหมดคลุกเคล้าให้เข้ากัน แล้วเทน้ำหมักราดลงไป และคลุกเคล้าดินให้เข้ากับน้ำหมักอีกครั้ง แล้วหมักทิ้งไว้ 2 เดือน ก่อนขึ้นแปลงปลูก
การเพาะต้นกล้า ใช้เวลาเพาะกล้า 14 วัน วันที่ 15 ลงแปลงปลูก โดยวิธีการเพาะกล้าของที่สวนจะเป็นการเพาะในตะกร้า ข้อดีคือสามารถเลือกต้นพันธุ์ได้ ใช้เวลาเพาะในตะกร้าประมาณ 7 วัน จากนั้นย้ายต้นกล้าลงถาดหลุมเพาะต่ออีก 7 วัน เมล็ดพันธุ์ 1 ซอง มีประมาณ 500 เมล็ด เพาะได้ประมาณ 5 ถาดหลุม สามารถเลือกต้นกล้าลงแปลงปลูกได้ 2 รุ่น นั่นหมายความว่าถ้าต้นกล้าโตไม่ทันกัน แต่เราสามารถเลือกต้นที่โตกว่าลงก่อนได้
ระยะห่างในการปลูก ที่สวนเน้นปลูกผักสลัด 4 ชนิด ได้แก่ เรดโอ๊ค กรีนโอ๊ค มินิคอส และบัตเตอร์เฮด จะปลูกในระยะห่างที่ไม่เท่ากัน หากเป็นเรดโอ๊คและกรีนโอ๊ค ปลูกในระยะห่างระหว่างต้น 25 เซนติเมตร มินิคอส ปลูกในระยะห่างระหว่างต้น 12 เซนติเมตร และบัตเตอร์เฮด ปลูกในระยะห่างระหว่างต้น 15 เซนติเมตร
สาธิตการทำน้ำหมักสูตรต่างๆ
การดูแลรดน้ำใส่ปุ๋ย
รดน้ำด้วยระบบมินิสปริงเกลอร์แบบพ่นฝอย ในช่วงที่สภาพอากาศปกติเปิดรดน้ำเช้า-เย็น ครั้งละ 3-5 นาที อยู่ที่ความชื้นของดินด้วย แต่ถ้าช่วงไหนมีอากาศร้อนจัดๆ จะเพิ่มการรดน้ำในช่วง 11 โมงเช้าถึงบ่ายโมง
บำรุงใส่ปุ๋ยทางดิน เน้นใส่ปุ๋ยขี้ไก่ หรือปุ๋ยขี้วัวหมัก 7-10 วันครั้ง โรยระหว่างแถวแล้วคลุกเคล้าไปพร้อมกับการพรวนดิน
ฉีดพ่นปุ๋ยบำรุงทางใบ หลังจากย้ายกล้าลงแปลงปลูก 10 วัน เริ่มฉีดพ่นบำรุงด้วยน้ำหมักทุก 3 วัน โดยก่อนถึงวันเก็บเกี่ยว 1 อาทิตย์ จะหยุดการบำรุงด้วยน้ำหมักทุกชนิด
น้ำหมักที่ใช้ในการฉีดบำรุงทางใบจะมีอยู่ 3 ตัวหลักๆ ได้แก่ น้ำหมักเศษอาหาร น้ำหมักปลา และฮอร์โมนนมสด โดยฮอร์โมนนมสดจะต้องหมักทิ้งไว้ประมาณ 18-24 วันก่อนนำมาใช้ ส่วนน้ำหมักปลา และน้ำหมักเศษอาหารจะหมักทิ้งไว้ประมาณ 1 ปี เพื่อให้ได้สารอาหารที่พืชต้องการครบถ้วน ช่วยให้ผักโตไว รสชาติหวานกรอบ เป็นที่ต้องการของตลาด
วิธีการใช้ นำน้ำหมักปลาและน้ำหมักเศษอาหารมาผสมในอัตราส่วนเท่ากัน ตัวอย่างเช่น นำเอาน้ำหมักปลา 1 ลิตร กับน้ำหมักเศษอาหาร 1 ลิตร มาผสมกัน แล้วตักมาใช้เพียง 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำ 16 ลิตร แล้วผสมกับฮอร์โมนนมสดอีก 3 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันแล้วนำมาฉีดพ่นบำรุงทางใบ
เก็บเกี่ยวผลผลิตคุณภาพ เตรียมส่งห้างสรรพสินค้า
สูตรน้ำหมักปลาตาหวาน ในถัง 200 ลิตร
ใช้ปลาทะเลหรือปลาน้ำจืด ประมาณ 80-100 กิโลกรัม
สับปะรด 15-20 กิโลกรัม
กากน้ำตาล 20 ลิตร
รำละเอียด 1-2 กิโลกรัม
พด.2 จำนวน 5-6 ซอง
พด.3 จำนวน 5 ซอง
กระชาย 1-2 กิโลกรัม
บอระเพ็ด 1-2 กิโลกรัม
บรรยากาศภายในสวนผักตาหวาน ชุ่มชื่น มองแล้วสบายตา
วิธีทำ
นำเอาส่วนผสมทั้งหมดนี้มารวมกันแล้วหมักทิ้งไว้ในถัง 200 ลิตร เป็นเวลา 1 ปี เรียกว่า “น้ำหมักปลาตาหวาน” โดยเป็นสูตรที่ทางสวนคิดค้นเอง
และยังมีอีกสูตรที่ทุกคนสามารถทำใช้ในครัวเรือนได้เองง่ายๆ ก็คือ สูตรน้ำหมักเศษอาหาร ในถัง 20 ลิตร
ส่วนผสม 1. ใช้กากน้ำตาล 5 ลิตร 2. น้ำเปล่า 5 ลิตร 3. พด.2 จำนวน 2 ซอง และส่วนที่เหลือคือเศษอาหารที่เหลือทิ้งในครัวเรือนใส่ให้เต็มถัง โดยเว้นระยะห่างประมาณ 5 เซนติเมตรจากปากถัง หมักทิ้งไว้ประมาณ 2 เดือน
วิธีใช้ ก่อนนำมาใช้ให้ใช้ผ้าขาวบางกรองเอาแต่น้ำ ในอัตราส่วนน้ำหมัก 2-3 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นทางใบในช่วงเช้า เพราะเป็นช่วงที่ปากพืชเปิด โดยวิธีการพ่นให้พ่นใต้ใบ จะช่วยให้พืชดูดซึมอาหารได้ดี เพราะปากพืชอยู่ใต้ใบ
การป้องกันกำจัดแมลง ด้วยน้ำหมักเหล้าขาว กับน้ำหมักยาสูบ ในอัตราส่วน เหล้าขาว 2 ส่วน กากน้ำตาล 1 ส่วน น้ำส้มสายชู 1 ส่วน หมักทิ้งไว้ 1 คืน
วิธีการใช้ น้ำหมักเหล้าขาว 2 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 20 ลิตร ผสมกับน้ำหมักยาสูบ 2 ลิตร ฉีดพ่นทุก 2-3 วันครั้ง ในช่วงเวลาประมาณ 6 โมงเย็น เพราะแมลงจะเริ่มลงในช่วงหัวค่ำ และเป็นเวลาที่ผีเสื้อจะเริ่มวางไข่ แล้วฟักตัวเป็นหนอน แล้วหนอนจะลงไปทำลายพืชผักที่ปลูกไว้
ปริมาณผลผลิต ก่อนที่จะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ เมื่อก่อนปลูกผัก 1 แปลงสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เพียง 5 กิโลกรัม จนได้มีการพัฒนาลองผิดลองถูกปรับสูตรการผสมดิน และปรับสูตรการทำน้ำหมักจนเข้าที่ ปัจจุบัน ผัก 1 แปลง สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณ 25-30 กิโลกรัมต่อโต๊ะ โดยเก็บส่งห้างสรรพสินค้าในจังหวัดเป็นหลัก อาทิตย์ละครั้ง เก็บส่งอาทิตย์ละ 4 โต๊ะ คิดเป็นรายได้ประมาณ 2,000 กว่าบาทต่อโต๊ะ กับอีกส่วนคือเปิดให้คนในหมู่บ้านและในละแวกใกล้เคียงเข้ามาซื้อที่สวน โดยจะนำรายได้ตรงส่วนนี้มาไว้ใช้จ่ายประจำวันในครอบครัว และส่วนรายได้ของการส่งห้างสรรพสินค้าจะกันไว้เป็นเงินเก็บ
“จากแต่ก่อนที่เริ่มปลูกผักเพียงเพราะอยากให้คนในครอบครัวได้กินผักปลอดสารพิษ ต่อมามีความคิดที่จะปลูกผักขาย และตอนนี้สามารถผลักดันตัวเองไปถึงการทำตลาดขายส่งห้างให้กับห้างได้เอง ไม่ต้องยืมขาเพื่อนมาวิ่ง โดยยึดสโลแกน ปลูกได้ ขายหมด และมีคติประจำใจคือ ทำให้จริง ทำให้ดี ทำให้ได้ แล้วจะประสบผลสำเร็จ” พี่สมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย
สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทร. 080-036-8055 หรือติดต่อได้ที่ช่องทางเฟซบุ๊ก : สวนผักตาหวาน