“ความขม” ของพืชหลายชนิดที่นิยมลิ้มรสกัน แล้วแต่คนชอบ ขมมากขมน้อย หรือบางคนไม่ชอบขมเลย คงจะให้คำตอบว่า ชีวิตนี้ก็ขมมากพอแล้วไม่อยากเติมความขมเข้าตัวเองอีก ก็ว่ากันไป นิยมขมมากหน่อยก็ต้องเจอแบบ คนอื่นไม่กล้ากิน กัดทีขมติดลิ้น ซึมเข้าประสาทลิ้มรสแบบไม่ต้องกลืน เช่น บอระเพ็ดแสนเข็ดขม ฟ้าทลายโจรก็สุดขม หนานเฉาเหว่ย (ป่าช้าหมอง) ก็ที่สุด บางคนแม้แต่ขมผลมะแว้ง ก็เมินหน้าหนีแล้ว
แต่ที่แนะนำวันนี้คือ ของขมอร่อย มีขมหลายระดับ แต่ถ้ารู้จักทำกินจะขมแบบพึงใจ ขมของสะเดาเป็นขมที่ตบท้ายด้วยหวาน ที่จริงสะเดามีความขมหลายระดับ ตั้งแต่ขมจัด ขมมาก ขมปานกลาง ขมน้อย จนถึงไม่ขมแต่มีรสจืดปนมัน คือแต่ละต้น แต่ละสายพันธุ์ มีความแตกต่างกัน คนซื้อหาสะเดาจากตลาด หมดโอกาสเลือก หรือจะใช้วิธีชิมเอา ก็ลองหาวิธีดู ตอนนี้ที่ตลาดมีขายเป็นกำเป็นมัด มีทั้งสด และลวกน้ำร้อนแล้ว ติดตามต่อไป จะแนะนำวิธีลดความขมของสะเดา ลดได้จริงแบบเอาที่สบายใจได้ครับ
สะเดา ณ เวลานี้ไม่กล้ายืนยันว่ามีถิ่นต้นกำเนิดมาจากไหน เข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อไร เพราะมีข้อมูลไม่ชัดเจนนัก แต่มีในบันทึกให้ศึกษาได้ว่า คนสยามนิยมกินสะเดาเป็นผักแกล้มน้ำพริกมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น
ที่ทวีปอเมริกาใต้ใช้ใบสะเดาปูพื้นดินก่อนเพาะกล้าพืชป้องกันแมลง ทางยุโรปแถบสหราชอาณาจักร อังกฤษใช้ใบสะเดารองตู้หนังสือกันแมลงสาบ เอเชียหลายประเทศ แถบป่าดงดิบเมียนมา อินเดีย ก็มีมาก คนเอเชียรู้จักสารสกัดจากสะเดามาใช้เป็นสารป้องกันกำจัดศัตรูพืชนานแล้ว จนถึงเดี๋ยวนี้ เกษตรกรไทยก็ยังใช้สารสกัดจากสะเดากำจัดศัตรูข้าว ไม้ผล พืชไร่ พืชผัก ซึ่งได้ผลดีมากด้วย ทดแทนสารเคมีที่จะเริ่มอ่อนความนิยมลงมากแล้ว เข้าสู่ยุคต้องการผลผลิตที่ปลอดภัยจากสารพิษตกค้าง ถึงเกษตรอินทรีย์กันแล้ว
สะเดา เป็นไม้ยืนต้น วงศ์ MELIACEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ Aradirachta indica
มีชื่อเรียกตามท้องถิ่นต่างๆ เช่น ภาคใต้เรียก กะเดา ไม้เดา เดา ภาคเหนือเรียก สะเรียม ภาคอีสานเรียก กาเดา กะเดา
สะเดาเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง สูง 10-15 เมตร ทุกส่วนมีรสขม วัดรอบวงต้นโตได้เฉลี่ย 80-100 เซนติเมตร เรือนยอดเป็นลักษณะพุ่มกลม หรือคล้ายเจดีย์ต่ำ เปลือกต้นสีน้ำตาลเทา หรือเทาปนดำ ผิวเปลือกต้นมักแตกเป็นร่องเล็กๆ หรือเป็นสะเก็ดยาวตามต้น แต่เปลือกกิ่งอ่อนจะมีผิวเรียบ
ใบสะเดาเป็นช่อแบบขนนก ใบย่อยรูปใบหอก กว้าง 2-4 เซนติเมตร ยาว 4-8 เซนติเมตร ขอบใบหยัก ใบออกเวียนกันตอนปลาย กิ่งจะผลิใบใหม่พร้อมกับการผลิดอก ดอกเป็นช่อสีขาว ผลกลมรี อวบน้ำ ผลแก่สีเหลือง ใน 1 ผล มี 1 เมล็ด
การปลูกสะเดาง่ายนิดเดียว โตเร็ว ไม่มีศัตรูพืชรบกวน เพาะเมล็ดให้เป็นต้นกล้า และนำลงหลุมปลูก ดินทุกชนิดขึ้นได้ เป็นพืชทนแล้ง ต้นแข็งแกร่ง ถึงใช้ปลูกเป็นแนวรั้ว แนวกันลมได้ ข้างทางหลวง หัวไร่ปลายนา ปลูกกันได้หมด บางที่ไม่ได้ปลูกแต่ขึ้นเอง เมล็ดมาจากไหน นกหรือสัตว์อื่นคาบมาทิ้งไว้ ก็งอกได้ง่ายๆ แต่ถ้าต้องการระเบียบการปลูก ก็ปลูกเป็นแถวแนว ระยะห่างระหว่างต้น 3×3 เมตร จะได้ทิวแถวสวยงามเป็นระเบียบดีมาก ต้นเป็นไม้เนื้อแข็ง มันเลื่อม ทนทาน เหมาะสำหรับใช้งานก่อสร้าง ทำเสา เพดาน ฝาเรือน กล่อง ลัง หีบไม้ ล้อเกวียน ฯลฯ
ค้นหาโฆษณา
สุรินทร์: ที่นอนยางพาราที่ขายไม่ออกเกือบจะแจกฟรี ไปดูราคา!
เรียนรู้เพิ่มเติม
ด้านสรรพคุณทางยาของสะเดา นพ.สรรพงศ์ ฤทธิรักษา ประธานศูนย์ข้อมูลยาสมุนไพรการแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก ให้ข้อมูลว่า ผักพื้นบ้านอย่าง “สะเดา” นั้นก็มีสรรพคุณช่วยต้านโรคมะเร็ง เนื่องจากเป็นพืชสมุนไพรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย ต้านการเกิดโรคมะเร็งได้ มีสรรพคุณแก้ไข้ เจริญอาหาร ลดการอักเสบ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
ส่วนประโยชน์ใช้เป็นอาหาร คือส่วนยอดใบอ่อน ดอกอ่อนใช้เป็นผัก ซึ่งจะมีมากในช่วงฤดูหนาว หนาวนี้ถึงมีมากตามตลาดสด การนำเอาดอกอ่อนที่เป็นช่อ และยอดใบอ่อนมาเป็นอาหาร บางคนนิยมกินแบบสดๆ เป็นผักสด หรือนำมาย่างไฟ ต้ม ลวก กินร่วมกับน้ำพริก
โดยทั่วไปมักกินสะเดาน้ำปลาหวาน ช่วยกลบรสขมได้ และมีปลาดุกย่างด้วย นั่นมันสุดยอดอาหารอร่อยลิ้นเลย อร่อย กินข้าวได้มาก เจริญอาหาร หรือบางทีเอามากินแกล้มน้ำพริกปลาย่าง น้ำพริกปลาร้า สารพัดน้ำพริก ลาบเลือดขม ต้มอ่อม ต้มขม แกงส้มขนุนอ่อน หรือจะเก็บสะเดาไว้กินนานๆ อีกหน่อย ก็นำสะเดาไปลวกน้ำร้อน แล้วตากให้แห้ง ก็ได้รสชาติอีกแบบ
บางทีก็ใช้วิธีเอาใบอ่อน ดอกอ่อน มาปิ้งไฟ หรือฟาดกับไฟถ่าน ให้ใบยอด ดอกนิ่ม เรียก “สะเดาฟาดไฟ” ส่วนสะเดาตากแห้งเก็บไว้กินได้นานมาก โดยลวกสะเดาแล้วตากแดดให้แห้ง สีจะดำไม่สวย แต่ก็กินอร่อยอีกแบบ จะกินก็นำมาลวกน้ำร้อนอีกครั้ง จะได้สะเดารสขมน้อยลง แต่ยังเป็นสะเดาอร่อยอยู่เช่นเดิม
ประโยชน์ต่อสุขภาพ สะเดาช่วยบรรเทาความร้อนและเจริญอาหาร สะเดา 1 ขีด หรือ 100 กรัม ให้พลังงานแก่ร่างกาย 76 กิโลแคลอรี มีเส้นใยไฟเบอร์ 2.2 กรัม แคลเซียม 354 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 26 มิลลิกรัม เหล็ก 4.6 มิลลิกรัม เบต้าแคโรทีน 3,611 ไมโครกรัม วิตามินบีหนึ่ง 0.06 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.07 มิลลิกรัม ไนอะซีน 3.5 มิลลิกรัม วิตามินซี 194 มิลลิกรัม
ประโยชน์มีมากขนาดนี้ คุณจะไม่ลองหาสะเดามาชิม หรือไม่ก็กินเป็นผักสักหน่อยมิดีหรือ แต่ต้นไหนที่เด็ดมากินแล้วอร่อย ก็อย่าเด็ดกินหมดจนโกร๋นต้นนะ เหลือเมล็ดไว้ทำเป็นสะเดาแห้งบดหมักแช่น้ำเป็นยาป้องกันกำจัดแมลงด้วย เป็นอีกเทรนด์หนึ่ง ที่กำลังนิยมขณะนี้