ข้อควรรู้ ก่อนปลูกผักอินทรีย์ ประจำเดือนมกราคม 2566
11 ม.ค. 2567
47
0
ข้อควรรู้ ก่อนปลูกผักอินทรีย์ ประจำเดือนมกราคม 2566
ข้อควรรู้ ก่อนปลูกผักอินทรีย์ ประจำเดือนมกราคม 2566

ข้อควรรู้ ก่อนปลูกผักอินทรีย์

     การบริโภคผักอินทรีย์มีความนิยมที่เพิ่มมากขึ้น จากการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ขาดการออกกำลังกาย พักผ่อนไม่เพียงพอ อีกทั้งในปัจจุบันโรคภัยมีมากมาย ทำให้คนเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น การเลือกกินผัก-ผลไม้ ที่ผลิตในระบบอินทรีย์จึงเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้บริโภค ในด้านการผลิตเกษตรกรหันมาสนใจปลูกผักอินทรีย์เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากในการปลูกผักอินทรีย์นั้น ไม่ใช่สารเคมีสังเคราะห์ใด ๆ ในทุกขั้นตอนการผลิต ช่วยให้สุขภาพของเกษตรกรดีขึ้น ไม่ต้องเสี่ยงกับการได้รับสารเคมี และยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ลดมลภาวะทั้งทางดิน น้ำ และอากาศ
     แต่ก่อนที่เราจะเริ่มปลูกผักอินทรีย์ เรามาดูข้อที่ควรรู้และทำความเข้าใจก่อนเริ่มปลูกผักอินทรีย์กัน
ข้อกำหนดและมาตรฐานอินทรีย์
     ข้อแรกนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่เกษตรกรควรรู้ คือ ในปัจจุบันมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ในประเทศไทยจะมีมาตรฐานที่รับรองโดยกรมวิชาการเกษตร และมาตรฐานต่างประเทศที่นิยม ได้แก่ มาตรฐาน IFOAM ดังนั้น เกษตรกรควรรู้ว่ามีอะไรบ้างที่ต้องทำและห้ามทำก่อนการขอรับรองเกษตรอินทรีย์
8 ข้อห้ามทำ
1.ห้ามใช้สารเคมีทุกชนิด
2.ห้ามเผาแปลงเพื่อเตรียมพื้นที่ปลูก และพื้นที่ต้องไม่เป็นการเปิดป่าชั้นต้น ยกเว้น กรณี เผาเพื่อทำลายการระบาดโรค-แมลงศัตรูพืช
3.ห้ามใช้พืช (เมล็ดพันธุ์) สัตว์ และจุลินทรีย์ที่มาจากกระบวนการพันธุวิศวกรรม (GMOs) และห้ามใช้เมล็ดพันธุ์คลุกสารเคมี
4.ห้ามใช้ปัสสาวะและอุจาระคน
5.ห้ามใช้มูลสัตว์ที่ไม่ผ่านการหมัก
6.ห้ามปลูกพืชชนิดเดียวกันในแปลงอินทรีย์และแปลงเคมี (พืชคู่ขนาน)
7.ห้ามใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ชีวภัณฑ์ และปัจจัยการผลิตอื่นๆ ที่ไม่ผ่านการอนุญาตจากโครงการ
8.ห้ามนำผลิตผลเคมีมาขายเป็นผลิตผลอินทรีย์


9. ข้อต้องทำ
1.เกษตรกรต้องสมัครเป็นสมาชิกโครงการ (กรณีเป็นกลุ่มหรือโครงการ)
2.เกษตรกรใหม่ต้องเข้าสู่ระยะปรับเปลี่ยน พืชล้มลุก 1 ปี พืชยืนต้น 18 เดือน
3.เกษตรกรต้องผ่านการฝึกอบรมทำความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกำหนดในการปลูกพืชอินทรีย์ (กรณีเป็นกลุ่มหรือโครงการ)
4.เกษตรกรต้องแยกแปลงปลูกพืชอินทรีย์และแปลงปลูกพืชเคมีให้ชัดเจน
5.ต้องทำแนวกันชนในกรณีที่แปลงอินทรีย์ติดกับแปลงเคมี ความกว้างอย่างน้อย 1 เมตร
6.เกษตรกรต้องจัดทำปัจจัยการผลิตเพื่อใช้เอง (ช่วยลดต้นทุน)
7.เกษตรกรต้องแยกเครื่องมือที่ใช้ในแปลงอินทรีย์กับแปลงเคมี โดยเฉพาะถังพ่น
8.เกษตรกรต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบทันที หากต้องการเปลี่ยนแปลงการผลิตเป็นแปลงเคมี
9.เกษตรกรต้องจดบันทึกการใช้ปัจจัยการผลิต


วิธีการป้องกันกำจัดศัตรูพืชและสารชีวภัณฑ์
     ในการปลูกพืช ปัญหาหลักที่จะต้องเจอก็คือปัญหาโรคและแมลง ซึ่งในการปลูกผักอินทรีย์จะไม่สามารถใช้สารเคมีทุกชนิดในการป้องกันและกำจัดโรคและแมลงได้ จะเปลี่ยนจากการใช้สารเคมีเป็นสารชีวภัณฑ์ ร่วมกับการจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน (Integrated Pest Management : IPM) โดยสามารถทำได้ ดังนี้
     การเขตกรรม : การดูแลแปลงให้สะอาดอยู่เสมอ ไถพรวนกลับหน้าดินเพื่อทำลายไข่และตัวอ่อนแมลง ใส่โดโลไมท์เพื่อปรับความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของดิน และปลูกพืชหมุนเวียนเพื่อตัดวงจรโรคและแมลง
     วิธีกล : ใช้กับดักแมลง เช่น กับดักกาวเหนี่ยวจับและทำลายแมลง หนอนภายในแปลง
ใช้พันธุ์พืชที่ต้านทานโรคและแมลง
     ชีววิธี : ใช้ศัตรูธรรมชาติ เช่น ตัวห้ำ ตัวเบียน และใช้สารชีวภัณฑ์ป้องกันและกำจัดโรคแมลง โดยสารชีวภัณฑ์ มีดังนี้
- พีพี-เมทา ใช้ป้องกันและกำจัด หนอนกินใบ ด้วงงวงมันเทศ เสี้ยนดิน ด้วงหมัดผัก
- พีพี-ไตรโค พ่นทางใบป้องกันโรคใบจุด ใบไหม้ ใช้หยอดลงดิน ป้องกันโรครากเน่าจากเชื้อรา
- พีพี-สเตร็บโต ใช้ป้องกัน โรครากเน่าจากเชื้อรา Fusarium spp. และ Pythiurm spp.
- พีพี-บีเค 33 ใช้ป้องกันโรคราเมล็ดผักกาด โรคราน้ำค้าง โรคใบจุด โรคใบไหม้ โรคเหี่ยวเขียว โรคดอกเน่า โรคผลเน่า
- พีพี-บี10 ใช้ป้องกันโรคเหี่ยวเขียวจากเชื้อแบคทีเรีย Ralstinia solanacearum ในพืชตระกูลพริกและมะเขือ
- พีพี-บี15 ใช้ป้องกันโรคผลเน่าจากเชื้อรา Colletotrichum, Aspergillus และ Rhizopus sp. ในพืช เช่น พริก
- พีพี-เบ็บ ใช้ป้องกันและกำจัดแมลงหวี่ขาวในมะเขือเทศ เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ มอด แมลงค่อมทอง แมลงหางหนีบ
- น้ำหมักพีพี 1 ใช้ป้องกันโรคพืชบางชนิดและแมลงปากดูด
- น้ำหมักพีพี 2 ใช้ป้องกันและกำจัดหนอนกินใบพืชที่อยู่เหนือดิน
- น้ำหมักพีพี 3 ใช้ป้องกันและกำจัดแมลงปากดูด เช่น เพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ ไร
- น้ำหมักพีพี 6 ใช้ป้องกันและกำจัดด้วงปีกแข็งขนาดเล็ก
- สบู่อ่อน 50 ml. ใช้ทดแทนสารจับใบ และ 300 ml. กำจัดเพลี้ยอ่อน

การทำปัจจัยการผลิตไว้ใช้เอง
     ในการทำเกษตรอินทรีย์ การทำปัจจัยการผลิตไว้ใช้เองเป็นวิธีที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถประหยัดค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังช่วยให้มั่นใจว่าไม่มีสารเคมีเจือปน ซึ่งปัจจัยการผลิตต่าง ๆ ที่ใช้ในระบบเกษตรอินทรีย์ เช่น น้ำหมักสมุนไพร ฮอร์โมนไข่ ปุ๋ยหมัก จะช่วยให้พืชผักโตเร็ว น้ำหนักดี มีคุณภาพ ใบสวยขึ้น เกษตรกรสามารถทำไว้ใช้เองได้ง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก        ยกตัวอย่างวิธีการทำฮอร์โมนไข่ มีดังนี้
- ใช้ไข่ไก่ 5 กก. นำลงไปปั่นพร้อมเปลือกให้ละเอียด
- ชั่งกากน้ำตาล 5 กก. แล้วนำไปผสมกับไข่ไก่ที่ปั่นแล้ว
- ผสมยาคูลท์และแป้งข้าวหมาก แล้วคนให้เข้ากัน ปิดฝา ทิ้งไว้ในร่ม 14 วัน สามารถนำไปใช้ได้ อัตราการใช้ 2 ช้อนแกง หรือ 20 มิลลิลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร เพื่อบำรุงต้นให้เจริญเติบโตเร็ว ใบสวย มีน้ำหนักผลผลิตดี โดยฉีดพ่นบริเวณลำต้นและใบ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง และสามารถใช้ฉีดพ่นไม้ผลเพื่อกระตุ้นการออกดอก โดยฉีดพ่นให้ทั่วทรงพุ่ม ข้อควรระวัง หากต้นพืชติดดอกแล้ว ห้ามฉีดพ่นโดนดอก จะทำให้ดอกร่วง ควรหลีกเลี่ยงโดยใช้การราดที่โคนต้นแทน

ที่มา :สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน)

ตกลง