นางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลการประเมินโครงการบริหารจัดการการผลิตสินค้าเกษตรตามแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri - Map) จากการดำเนินงานของ 9 หน่วยงาน ได้แก่ กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมวิชาการเกษตร กรมหม่อนไหม กรมประมง กรมปศุสัตว์ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ และมีสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร รับผิดชอบติดตามประเมินผลโครงการ
ที่ผ่านมาโครงการบริหารจัดการการผลิตสินค้าเกษตรตามแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri - Map) เป็นโครงการตามนโยบายที่สำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับโครงสร้างการผลิตในพื้นที่เหมาะสมน้อย และไม่เหมาะสม โดยปรับเปลี่ยนไปผลิตสินค้าอื่นที่มีศักยภาพทางกายภาพและเศรษฐกิจสูงกว่าชนิดเดิม มีการดำเนินการมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2560 ซึ่งได้ดำเนินการส่งเสริมการปรับเปลี่ยนการผลิตแล้วรวมทั้งสิ้น 1 ล้านไร่ มีสินค้าปรับเปลี่ยนที่สำคัญ คือ การปรับเปลี่ยนจากการปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสม ไปเป็นหญ้าเลี้ยงสัตว์ อ้อยโรงงาน และเกษตรผสมผสาน
ผลการประเมินผลของเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ 7 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 - 2566 จากกลุ่มเกษตรกรตัวอย่าง 251 ราย ใน 14 จังหวัด พบว่า เกษตรกรร้อยละ 81 ยังคงดำเนินกิจกรรมปรับเปลี่ยนการผลิตให้เหมาะสมกับพื้นที่ตาม Agri - Map อย่างต่อเนื่อง และในจำนวนดังกล่าวนี้ ร้อยละ 88 ยังคงนำความรู้ที่ได้รับจากโครงการมาใช้ประโยชน์ โดย สศก. พบว่า ในปี 2566 เกษตรกรมีผลตอบแทนสุทธิจากการปลูกข้าวเพียง 1,021 บาทต่อไร่ต่อปี และในปี 2566 เกษตรกรที่ยังคงปลูกข้าวในพื้นที่เดิม มีผลตอบแทนสุทธิ 1,957 บาทต่อไร่ต่อปี แต่ในส่วนของเกษตรกรได้ปรับเปลี่ยนแผนการผลิตตามโครงการฯ เกษตรกรสามารถมีผลตอบแทนสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยผลติดตามปี 2566 จำแนกตามสินค้าที่ปรับเปลี่ยน พบว่า การปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ เกษตรกรมีผลตอบแทนสุทธิ 23,525 บาทต่อไร่ต่อปี มากกว่าผลตอบแทนสุทธิการปลูกข้าว 21,568 บาทต่อไร่ต่อปี การปลูกอ้อยโรงงาน เกษตรกรมีผลตอบแทนสุทธิ 7,871 บาทต่อไร่ต่อปี มากกว่าผลตอบแทนสุทธิการปลูกข้าว 5,914 บาทต่อไร่ต่อปี ส่วนการทำเกษตรผสมผสาน เกษตรกรมีผลตอบแทนสุทธิ 4,322 บาทต่อไร่ต่อปี มากกว่าผลตอบแทนสุทธิการปลูกข้าว 2,365 บาทต่อไร่ต่อปี ในภาพรวมเกษตรกรมีความพึงพอใจต่อการดำเนินโครงการในระดับมาก เนื่องจาก เห็นว่า เมื่อปรับเปลี่ยนการผลิตแล้วมีรายได้เพิ่มขึ้น มีแหล่งอาหารบริโภคในครัวเรือนและลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน