การผลิตสินค้าเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
18 มี.ค. 2568
51
103

เกษตรอินทรีย์ คืออะไร?

     เกษตรอินทรีย์ คือ การทำการเกษตรด้วยวิธีที่เน้นหลักธรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีในทุกขั้นตอนการเกษตรไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยเคมีสารกำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าหญ้า/แมลง รวมถึงสารเคมีอื่น ๆ ซึ่งผลผลิตที่ได้จากการทำ เกษตรอินทรีย์ จะมีความปลอดภัยต่อผู้ผลิต ผู้บริโภคและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

ขั้นตอนการทำเกษตรอินทรีย์

1. ตรวจสอบดิน และแหล่งน้ำการตรวจสอบคุณภาพดินและแหล่งน้ำเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญ พื้นที่ที่จะทำการเกษตรนั้นต้องไม่เคยทำการเกษตรเคมี มาไม่น้อยกว่า 3 ปี  ต้องอยู่ห่างจากเขตอุตสาหกรรม และมีแหล่งน้ำ ที่ปลอดสารพิษ เพื่อให้แน่ใจว่าดินและน้ำในพื้นที่ที่ทำการเกษตรไม่มีสารพิษหรือสารเคมีตกค้างที่อาจเป็นอันตรายต่อพืชและผู้บริโภค

2. ปรับปรุงดินให้มีคุณภาพดินดี ผลผลิตย่อมมีความแข็งแรงและอุดมสมบูรณ์ การปรับปรุงดินในแนวทางเกษตรอินทรีย์จะใช้แนวทางชีวภาพและอินทรีย์วัตถุเป็นหลัก การปรับปรุงบำรุงดินด้วยปุ๋ยชีวภาพ ได้แก่ การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพ การใช้จุลินทรีย์ที่ตรึงไนโตรเจนจากอากาศ การใช้พืชตระกูลถั่วบำรุงดิน และปลูกหญ้าแฝกเพื่อลดการพังทะลายของหน้าดิน

3. คัดเมล็ดพันธุ์ เพาะกล้าการทำเกษตรอินทรีย์ แหล่งที่มาของเมล็ดพันธุ์ต้องเป็นเมล็ดพันธุ์อินทรีย์ ตรวจสอบแหล่งที่มาได้เมล็ดพันธุ์ต้องสะอาดปราศจากสิ่งเจือปน เช่น ไม่มีแมลงหรือเมล็ดพืชอื่น จากนั้นเริ่มต้นกระบวนการเพาะกล้า เพื่อให้ต้นผักได้มีการเจริญเติบโตที่ดีและมีความแข็งแรง

4. ปลูกกล้าลงดินการปลูกกล้าลงดินหลังจากการเพาะ นอกจากช่วยลดเวลาที่ต้องใช้ในการดูแลต้นกล้าแล้ว ยังช่วยให้การวางแผนการเพาะปลูกเป็นไปได้ง่ายขึ้น ลดโอกาสที่ต้นกล้าจะติดโรคหรือถูกแมลงศัตรูพืชทำลาย

5. หว่านปุ๋ยอินทรีย์การใช้ปุ๋ยอินทรีย์อย่าง ปุ๋ยคอก, ปุ๋ยหมัก, ปุ๋ยพืชสด และปุ๋ยชีวภาพ จะช่วยเสริมสร้างธาตุอาหารในดิน ทำให้พืชเจริญเติบโตได้ดี ทนทานต่อโรคและแมลง

6. ป้องกันศัตรูพืชด้วยวิธีธรรมชาติแนวทางการ ป้องกันศัตรูพืช สำหรับเกษตรอินทรีย์จะใช้วิธีทางธรรมชาติเป็นหลัก เช่น สารสกัดสมุนไพร สารชีวภัณฑ์ การทำความสะอาดแหล่งเพาะปลูก ใช้มุ้งป้องกัน เป็นต้น

ประโยชน์ของเกษตรอินทรีย์

1. เพิ่มมูลค่าผลผลิตผลผลิตจากเกษตรอินทรีย์ ขายได้ราคาสูงกว่าผลผลิตที่ใช้สารเคมี เนื่องจากมีความปลอดภัยอุดมด้วยธาตุ คุณค่าทางโภชนาการ ทำให้เป็นที่ต้องการของตลาดสำหรับกลุ่มรักสุขภาพ

2. ลดต้นทุนการผลิตการใช้หรือแปรรูปทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ เช่น การทำปุ๋ยหมักจากเศษอาหารและขยะอินทรีย์จะช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้ เกษตรกรได้กำไรมากขึ้น

3. ผลผลิตปลอดภัยเมื่อกระบวนการผลิตไม่มีการใช้สารเคมีสังเคราะห์ ผลผลิตที่ได้จึงไม่มีสารพิษตกค้าง ทำให้มั่นใจได้ว่าผลผลิตปลอดภัยต่อการบริโภค

4. เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายผลผลิตจาก เกษตรอินทรีย์ มีความต้องการในตลาดสูง ทำให้สามารถจัดจำหน่ายได้ในช่องทางที่หลากหลายกว่า ตั้งแต่ร้านค้าปลีกทั่วไป ร้านค้าออนไลน์ ไปจนถึงซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำอย่าง Tops Supermarket, Gourmet Market หรือ Lemon Farm

5. สร้างความสมดุลให้กับสภาพแวดล้อมหลักของการทำ เกษตรอินทรีย์ คือ อิงวิถีธรรมชาติ ไม่มีสารเคมีปนเปื้อน ทำให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยคืนสมดุลให้กับระบบนิเวศน์อย่างยั่งยืน

ข้อกำหนดการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ มีอะไรบ้าง

     ห้ามใช้สารเคมีเกษตรอินทรีย์ ห้ามใช้สารเคมีสังเคราะห์ทุกประเภทในกระบวนการผลิต นอกจากผลผลิตที่ได้จะไม่ออร์แกนิคแล้ว ยังส่งกระทบต่อกันเป็นลูกโซ่ ตั้งแต่สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศน์ และสุขภาพของผู้บริโภค

ไม่ใช้พืชที่มีการตัดต่อพันธุกรรม (GMO)

     พืชที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรมในกระบวนการปลูก จะมีคุณค่าทางโภชนาการไม่เท่าอาหารปกติในธรรมชาติ และอาจมีสิ่งปนเปื้อนที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตรวจสอบกระบวนการเกษตรได้การรับรองว่ากระบวนการผลิตสามารถ

ตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอนการเกษตร

     เพื่อให้แน่ใจว่ามีการปฏิบัติตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ในทุกขั้นตอนการเกษตร ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ เช่น ตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำ ติดตามและบันทึกข้อมูลการใช้ปุ๋ยและสารอินทรีย์ในการบำรุงรักษาพืช เป็นต้น

ไม่สร้างมลภาวะให้กับสภาพแวดล้อม

     การทำเกษตรอินทรีย์ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รักษาสิ่งแวดล้อมในสภาพที่ดีและยั่งยืนไม่ทำให้เกิดการปนเปื้อนหรือเสื่อมสภาพของทรัพยากรธรรมชาติ เช่น สภาวะโลกร้อน (Global Warming)

ตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์มีอะไรบ้าง

ประเภทที่ 1 ตรามาตรฐานสินค้าอินทรีย์ของประเทศผู้นำเข้าสินค้าอินทรีย์รายใหญ่ตราสัญลักษณ์นี้แสดงถึงการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของประเทศที่มีการนำเข้าสินค้าอินทรีย์เป็นจำนวนมาก เช่น:• USDA Organic ของสหรัฐอเมริกา: ตราสัญลักษณ์นี้รับรองว่าสินค้าเกษตรอินทรีย์ผ่านการตรวจสอบและปฏิบัติตามมาตรฐานของกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา

• EU Organic ของสหภาพยุโรป: ตราสัญลักษณ์นี้บ่งบอกว่าสินค้าถูกผลิตและตรวจสอบตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของสหภาพยุโรป

• มาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ญี่ปุ่น (Japanese Agricultural Standard Organic JAS mark)ภายใต้กำกับดูแลของกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง ของญี่ปุ่น (Ministry of Agriculture, Forestry and Fisheries – MAFF) 

• มาตรฐานระบบอินทรีย์แคนาดา หรือ Canada Organic Regime (COR) ออกบังคับใช้เมื่อปี พ.ศ.2552 ตามระเบียบ Organic Products Regulations, 2009 โดยมี Canadian Food Inspection Agency (CFIA) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ

ประเภทที่ 2 ตรามาตรฐานสินค้าอินทรีย์ของหน่วยงานรับรองเอกชนตราสัญลักษณ์จากหน่วยงานรับรองเอกชนที่ได้รับความน่าเชื่อถือ เช่น:• Ecocert ของฝรั่งเศส: เป็นหนึ่งในหน่วยงานรับรองที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งเน้นการตรวจสอบที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนการผลิต เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าเกษตรอินทรีย์เป็นไปตามหลักการและมาตรฐานที่กำหนด

• IFOAM ของสหพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ โดยสหพันธ์ ฯ ได้จัดทำโครงการรับรองระบบงานเกษตรอินทรีย์ IFOAM (IFOAM Accreditation Program) ภายใต้กรอบมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ IFOAM ซึ่งปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกยอมรับเป็นเกณฑ์มาตรฐานระบบเกษตรอินทรีย์ขั้นต่ำสำหรับสินค้าอินทรีย์เพื่อการนำเข้า เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น

ประเภทที่ 3 ตรามาตรฐานสินค้าอินทรีย์ของหน่วยงานไทยตราสัญลักษณ์ที่ออกโดยหน่วยงานรับรองของไทย เช่น มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ไทย (Organic Thailand) ซึ่งรับรองว่าเป็นสินค้าที่ผลิตตามมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ของประเทศตราสัญลักษณ์ที่ออกโดยหน่วยงานรับรองของไทย เช่น:• มาตรฐานเกษตรอินทรีย์ไทย (Organic Thailand): ตราสัญลักษณ์นี้รับรองว่าสินค้าเกษตรอินทรีย์ถูกผลิตตามมาตรฐานที่กำหนดโดยหน่วยงานของประเทศไทย ซึ่งมุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนและการลดการใช้สารเคมีในการผลิต เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม

ตกลง