แนวทาง “การแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน” (Nature-based Solutions: NbS) เพื่อการทำเกษตรที่ยั่งยืน
23 เม.ย. 2568
3
1

แนวทาง “การแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน”
(Nature-based Solutions: NbS)
เพื่อการทำเกษตรที่ยั่งยืน

           Nature-based Solutions (NbS) หรือ “การแก้ปัญหาที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน” เป็นแนวทางการจัดการและแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยใช้กระบวนการทางธรรมชาติและบริการจากระบบนิเวศเป็นหัวใจสำคัญ ซึ่งในภาคการเกษตร การประยุกต์ใช้ NbS เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อเกษตรกร สังคม และสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน โดยเพิ่มความยั่งยืนของระบบการผลิตอาหารและรักษาความหลากหลายทางชีวภาพควบคู่กันด้วย
           1) ความหมายของ NbS (Nature-based Solutions)
นิยาม : “การดำเนินงานเพื่อบริหารจัดการ ปกป้อง และฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างยั่งยืน ซึ่งสามารถจัดการกับความท้าทายทางสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพและปรับให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีของมนุษย์ ควบคู่กับการคงไว้ซึ่งประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพ”
           2) หลักการสำคัญของ NbS
หลักการสำคัญในการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมตามแนวทาง NbS เพื่อการทำเกษตรที่ยั่งยืน มีดังนี้
               2.1) เกื้อกูลทั้งคนและธรรมชาติ : โครงการต้องมุ่งแก้ปัญหาของมนุษย์ เช่น ผลผลิตอาหาร น้ำใช้ในการเกษตร พร้อมกับสร้างหรือรักษาประโยชน์ให้ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ
               2.2) ความยั่งยืนระยะยาว : เน้นการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ฟื้นฟูดิน น้ำ ป่า เพื่อให้ ระบบเกษตรสามารถดำรงอยู่ได้ในระยะยาว โดยไม่ทำลายฐานทรัพยากรของอนาคต
               2.3) การปรับตัวและยืดหยุ่น : มีความสามารถในการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงหรือเหตุการณ์สุดขั้ว เช่น ภัยแล้งหรือน้ำท่วม เป็นต้น เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ชุมชนเกษตรกรรม
               2.4) มีส่วนร่วมและเหมาะสมกับท้องถิ่น : ใช้องค์ความรู้และการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นใน การออกแบบแก้ปัญหา เคารพภูมิปัญญาชาวบ้าน ผนวกกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เพื่อให้การแก้ปัญหาเหมาะกับบริบทของพื้นที่นั้นๆ
               2.5) ประโยชน์หลายมิติ : แนวทาง NbS ควรสร้างประโยชน์ร่วมหลายด้าน (multiple co-benefits) เช่น เพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยอนุรักษ์ดินน้ำป่า และสร้างงานหรือรายได้เสริมให้ชุมชน ไปพร้อม ๆ กัน

           3) ตัวอย่างความท้าทายที่ NbS ช่วยแก้ไข
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, น้ำท่วม-ภัยแล้ง, การเสื่อมโทรมของดิน, การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ, และความไม่มั่นคงทางอาหาร เป็นต้น โดยใช้วิธีที่ทำงานสอดคล้องกับธรรมชาติ เช่น การฟื้นฟูป่า การสร้างพื้นที่สีเขียว หรือการทำเกษตรผสมผสาน แทนการพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานที่มนุษย์สร้างอย่างเดียว
               3.1) ตัวอย่าง NbS ในการจัดการน้ำเพื่อการเกษตร
การประยุกต์ใช้ NbS ในการจัดการน้ำเพื่อการเกษตร : แนวทางเหล่านี้จะช่วยให้การจัดการน้ำ มีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น เกษตรกรสามารถพึ่งพาน้ำฝนและน้ำตามธรรมชาติได้มากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายพลังงานในการสูบน้ำหรือสร้างโครงสร้างขนาดใหญ่ ทั้งยังป้องกันภัยพิบัติ (น้ำท่วม/ภัยแล้ง) ไปพร้อมกัน โดย ตัวอย่าง NbS ในการจัดการน้ำเพื่อการเกษตร มีดังนี้
                       (1) ฝายชะลอน้ำทำจากไม้ไผ่ในชุมชน : “ฝายชะลอน้ำ” เป็นตัวอย่างของ NbS ที่ใช้ในการบริหารจัดการน้ำในภาคเกษตรกรรม โดยการสร้างฝายขนาดเล็กจากวัสดุธรรมชาติ (เช่น ไม้ไผ่และก้อนหิน) ขวางลำธารบนพื้นที่ต้นน้ำเพื่อชะลอการไหลของน้ำ ลดความรุนแรงของน้ำหลาก และเพิ่มการซึมลงดินช่วยเติมน้ำใต้ดิน ทำให้พื้นที่ด้านล่างมีน้ำใช้ยาวนานขึ้นในฤดูแล้ง ช่วยให้เกษตรกรมีแหล่งน้ำอย่างต่อเนื่องสำหรับเพาะปลูก โดยไม่ต้องพึ่งพาเขื่อนขนาดใหญ่หรือระบบชลประทานที่สิ้นเปลืองงบประมาณ
                       (2) แก้มลิงและสระน้ำธรรมชาติ : แนวคิด “แก้มลิง” ตามศาสตร์พระราชา เป็นอีกตัวอย่างที่ใช้พื้นที่ ลุ่มต่ำหรือสระน้ำในไร่นาเป็นที่พักน้ำชั่วคราวในฤดูน้ำหลาก และปล่อยน้ำออกมาใช้ยามขาดแคลน ซึ่งช่วยป้องกันน้ำท่วมและเก็บกักน้ำไว้ใช้ในการเกษตรได้ตลอดปี
                       (3) พืชคลุมดินและหญ้าแฝก : การปลูกพืชคลุมดินหรือแถบหญ้าแฝกตามขอบคันนา เนินเขา หรือ ขอบสระน้ำ เพื่อช่วยชะลอน้ำและอนุรักษ์ดิน ลดการพังทลายของหน้าดินขณะฝนตกหนัก อีกทั้งยังเพิ่มความ ชุ่มชื้นให้ดินและยังรักษาน้ำในดินไว้ให้พืชผลสามารถใช้ได้นานขึ้น
                       (4) ระบบนิเวศพื้นที่ชุ่มน้ำ : การฟื้นฟูหรือสร้างพื้นที่ชุ่มน้ำขนาดเล็กใกล้พื้นที่เกษตร เช่น บึงหรือหนองน้ำธรรมชาติ เพื่อช่วยกรองตะกอนและมลพิษจากน้ำท่าไม่ให้ไหลลงแหล่งน้ำหลัก ทั้งยังเป็นแหล่งกักเก็บน้ำในฤดูฝนและปล่อยจ่ายในฤดูแล้ง ลดความเสี่ยงการขาดแคลนน้ำให้กับไร่นาในบริเวณใกล้เคียง

                3.2) ตัวอย่าง NbS เพื่อส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในระบบเกษตร
                       การประยุกต์ใช้ NbS เพื่อส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในระบบเกษตร : การส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในระบบเกษตรผ่านแนวทางต่างๆ ของ NbS นั้น ทำให้ระบบนิเวศเกษตรมีความสมบูรณ์และสมดุลยิ่งขึ้น พืชผลมีสุขภาพแข็งแรงเพราะได้ประโยชน์จากดินที่ดี แมลงผสมเกสร และการควบคุมศัตรูพืชตามธรรมชาติ ผลผลิตที่ได้มีความปลอดภัยจากสารเคมีตกค้าง ช่วยรักษาฐานทรัพยากรให้การเกษตรสามารถยั่งยืนต่อเนื่องไปสู่รุ่นต่อไป โดย ตัวอย่าง NbS เพื่อส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในระบบเกษตร มีดังนี้
                      (1) ระบบวนเกษตร (Agroforestry) : ตัวอย่างในการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ คือ ระบบ วนเกษตรที่ผสมผสานการปลูกไม้ยืนต้นเข้ากับพืชไร่หรือพืชสวน ซึ่งการปลูกพืชหลากหลายชนิดในพื้นที่เดียวกัน ช่วยเลียนแบบโครงสร้างของระบบนิเวศธรรมชาติ ทำให้เกิดที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสัตว์หลายชนิดในไร่นา เพิ่มจำนวนแมลงผสมเกสรและตัวห้ำกำจัดศัตรูพืชตามธรรมชาติ ทั้งยังช่วยบำรุงดินจากการทิ้งใบไม้และเศษพืช เป็นการเพิ่มอินทรียสารในดิน
                      (2) แถบกันชนและพื้นที่สีเขียวในไร่นา : การเว้นพื้นที่ริมขอบแปลงปลูกเป็นแถบกันชนที่เต็มไปด้วย พืชท้องถิ่น ดอกไม้ป่า หรือพุ่มไม้ ช่วยดึงดูดแมลงผสมเกสร เช่น ผึ้ง ผีเสื้อ และแมลงที่เป็นประโยชน์อื่นๆ เข้ามา ในระบบนิเวศเกษตร นอกจากนี้ยังเป็นที่อยู่อาศัยและหลบภัยของสัตว์เล็กสัตว์น้อย เช่น กบ งู เม่น นก เป็นต้น ซึ่งมีบทบาทควบคุมศัตรูพืชตามธรรมชาติ ลดความจำเป็นในการใช้สารเคมี
                      (3) การปลูกพืชหมุนเวียนและพืชหลากชนิด : การปลูกพืชหมุนเวียนสลับชนิดกัน (crop rotation) และปลูกพืชหลายชนิดในเวลาเดียวกัน (polyculture) ช่วยเพิ่มความหลากหลายทางพันธุกรรมและระบบนิเวศ ในไร่นา ดินไม่ถูกใช้เพาะปลูกพืชชนิดเดียวซ้ำๆ จนขาดความสมดุล ช่วยตัดวงจรศัตรูพืชและโรคพืชบางชนิด ทำให้ลดการระบาดของโรค/แมลงศัตรูพืชโดยธรรมชาติ
                      (4) ระบบนาข้าวแบบผสมผสานกับสัตว์ : ตัวอย่างเช่น “นาปลา” หรือ “นาเป็ด” ที่เลี้ยงปลาหรือเป็ดร่วมกับการปลูกข้าวในนา เป็นการเพิ่มความหลากหลายชีวภาพในระบบนาข้าวและเป็ดจะช่วยกินหอยเชอรี่และวัชพืชในนา พร้อมทั้งใส่ปุ๋ยมูลเพิ่มธาตุอาหารให้ข้าว ส่วนปลาหรือกุ้งในนาก็ช่วยควบคุมแมลงและเป็นรายได้เสริมให้เกษตรกร ระบบนาแบบผสมผสานนี้ลดการพึ่งสารเคมี และสร้างความสมดุลของห่วงโซ่อาหารภายในแปลงนา

          4) NbS กับระบบอาหารที่ปลอดภัยและยั่งยืน
NbS มีบทบาทสำคัญในการสร้าง ระบบอาหารที่ปลอดภัยและยั่งยืน (safe and sustainable food systems) ดังนี้:
              4.1) ลดการใช้สารเคมีในการผลิตอาหาร : เมื่อเกษตรกรใช้บริการตามธรรมชาติ เช่น ศัตรูพืชตามธรรมชาติหรือปุ๋ยหมักอินทรีย์ แทนการใช้ยาฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี ส่งผลให้อาหารที่ผลิตได้ปลอดภัยยิ่งขึ้นสำหรับผู้บริโภค ลดปัญหาสารพิษตกค้างในอาหารและสิ่งแวดล้อม
              4.2) ปรับปรุงคุณภาพดินและน้ำ : NbS เช่น การปลูกพืชหลากหลายและการใช้ปุ๋ยพืชสดช่วยเพิ่ม ความอุดมสมบูรณ์ของดิน และการสร้างพื้นที่ชุ่มน้ำหรือแถบกันชนริมลำน้ำช่วยกรองสารเคมีและปุ๋ยส่วนเกินไม่ให้ปนเปื้อนลงแหล่งน้ำ ทำให้ทั้งดินและน้ำมีคุณภาพดีสำหรับการเพาะปลูกในระยะยาว อาหารที่ได้จึงมีคุณค่า ทางโภชนาการสูงขึ้นและปลอดภัย
              4.3) เสริมความมั่นคงทางอาหารและความยืดหยุ่น : ระบบเกษตรที่พึ่งพาความหลากหลายทางชีวภาพ จะมีความมั่นคงมากกว่า เนื่องจากมีพืชและสัตว์หลายชนิดช่วยพยุงระบบ หากพืชหลักชนิดหนึ่งเสียหายยังมีพืชชนิดอื่นเสริม ผลผลิตไม่สูญเสียทั้งหมด ช่วยให้ชุมชนมีอาหารเพียงพอแม้ในภาวะวิกฤต เช่น ภัยแล้ง น้ำท่วมหรือศัตรูพืชระบาด นอกจากนี้ยังสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดี
              4.4) สนับสนุนห่วงโซ่อาหารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม : เมื่อฟาร์มหรือไร่นาใช้วิธี NbS จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น จากการลดใช้ปุ๋ยไนโตรเจนสังเคราะห์หรือการไถพรวนที่ทำให้ดินปล่อยคาร์บอน และเพิ่มการดูดซับคาร์บอนในดินและพืชพรรณ ผลผลิตที่ได้จะมี carbon footprint ต่ำกว่า ผู้บริโภคก็จะได้บริโภคอาหารที่มาจากกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
          5) ประโยชน์ที่ภาครัฐสามารถนำไปใช้ในการกำหนดนโยบายหรือสนับสนุนชุมชนเกษตรกรรมทำเกษตรตามแนวทาง NbS
หน่วยงานภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการผลักดันและสนับสนุนการใช้ NbS ในภาคเกษตร เนื่องจากแนวทางนี้มีประโยชน์เชิงนโยบายและการพัฒนาชุมชนหลายประการ ได้ดังนี้
             5.1) นโยบายและแผนยุทธศาสตร์ที่ยั่งยืน : การนำ NbS มาบรรจุในนโยบายการเกษตรและทรัพยากรธรรมชาติจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) หลายข้อพร้อมกัน เช่น การขจัดความหิวโหย (อาหาร), การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การอนุรักษ์ดินน้ำป่า และการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ประเทศไทยเองได้บรรจุแนวคิด NbS และการปรับตัวโดยใช้ระบบนิเวศ ลงในแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 แล้ว เพื่อมุ่งสู่เศรษฐกิจชีวภาพ-หมุนเวียน-สีเขียว (BCG Economy) ที่เน้นความยั่งยืนของทรัพยากร
             5.2) ทางเลือกที่คุ้มค่ากว่าทางวิศวกรรมเพียงด้านเดียว : NbS หลายอย่างสามารถทดแทนหรือเสริม การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่ใช้งบประมาณสูงได้ เช่น การฟื้นฟูป่าชายเลนป้องกันคลื่นกัดเซาะชายฝั่งอาจใช้งบน้อยกว่าการสร้างเขื่อนกันคลื่นคอนกรีต และให้ผลระยะยาวที่ยั่งยืนกว่า หรือการส่งเสริมระบบเกษตรอินทรีย์เชิงนิเวศลดค่าใช้จ่ายการนำเข้าปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง ทั้งยังเพิ่มมูลค่าผลผลิตให้เกษตรกรในตลาดสินค้าอินทรีย์
             5.3) เสริมสร้างศักยภาพและรายได้ให้ชุมชน : โครงการฟื้นฟูระบบนิเวศและเกษตรเชิงนิเวศในชุมชน เช่น โครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ที่เน้นการขุดสระน้ำในไร่นา ปลูกป่า 3 อย่างประโยชน์ 4 อย่าง และทำเกษตรผสมผสานตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นช่วยสร้างงานในท้องถิ่นและเพิ่มทักษะความรู้ให้เกษตรกรในการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน ชุมชนจะมีความเข้มแข็งสามารถพึ่งพาตนเองได้มากขึ้น มีรายได้เสริมหรือผลผลิตหลากหลายจากระบบเกษตรที่ยืดหยุ่น ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาพืชเชิงเดี่ยว
             5.4) การสนับสนุนทางการเงินและวิชาการ : ภาครัฐสามารถออกมาตรการจูงใจทางการเงิน เช่น เงินอุดหนุน เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ หรือการจ่ายค่าบริการระบบนิเวศให้แก่เกษตรกรที่อนุรักษ์ป่าไม้หรือน้ำบนที่ดิน ของตน เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรหันมาใช้ NbS นอกจากนี้ควรจัดให้มีการอบรม ถ่ายทอดความรู้ และงานวิจัยรองรับ โดยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ นักวิชาการ และชุมชน เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูล ที่จำเป็นในการปรับเปลี่ยนวิธีการผลิต
             5.5) ติดตามประเมินผลและปรับปรุงนโยบาย : รัฐควรมีระบบติดตามประเมินประสิทธิผลของโครงการ ที่ใช้ NbS ในการเกษตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อเก็บข้อมูลประสบการณ์และบทเรียน นำมาปรับปรุงนโยบายให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ตลอดจนสื่อสารประชาสัมพันธ์ความสำเร็จของโครงการเหล่านี้ให้สาธารณชนรับรู้ เกิดการยอมรับและสนับสนุนในวงกว้างต่อไป
สรุป : โดยสรุป NbS ช่วยทำให้ระบบอาหารตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการบริโภคมีความปลอดภัยสำหรับผู้คนและดำเนินไปในแนวทางที่รักษาสมดุลกับธรรมชาติ โดยไม่เบียดเบียนทรัพยากรจนเกินขีดความสามารถของโลกที่จะฟื้นตัว และส่งเสริมให้เกิดความมั่นคงทางอาหารในระยะยาวควบคู่ไปกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

 

 

ที่มา : ONEP.GO.TH , FAO.ORG

ตกลง