Future Farming
12 ก.ย. 2567
53
0
Future Farming
Future Farming

อิตาลีมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเกษตร และแนวทางการเกษตรนวัตกรรมในอิตาลี
อุตสาหกรรมการเกษตรของอิตาลีมีมูลค่าประมาณ 35 พันล้านยูโร หรือ 2.2% ของ GDP แต่ปริมาณการผลิตลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้อิตาลีกลายเป็นผู้นำด้านการเกษตรในยุโรปอันดับที่สาม รองจากฝรั่งเศสและเยอรมนี ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบคือ ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ การลดลงของเงินทุนสาธารณะ และสภาพอากาศที่รุนแรง เช่น ภัยแล้งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2565 และ 2566 ซึ่งเป็นปีที่ร้อนและแห้งแล้งที่สุดในประวัติศาสตร์ของอิตาลี นอกจากนี้ เกษตรกรยังเผชิญกับแรงกดดันจากนโยบายลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหภาพยุโรป โดยเฉพาะการลดก๊าซเรือนกระจก ลดการใช้สารเคมีและมลภาวะจากภาคเกษตร ในอิตาลีภาคเกษตรปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 7% ของประเทศและใช้ทรัพยากรน้ำมากกว่า 50% การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนและการจำกัดการใช้ยาฆ่าแมลงจึงสร้างความกังวลต่อการเพิ่มต้นทุนการผลิตของเกษตรกร
**ท่ามกลางวิกฤตเหล่านี้ ศูนย์วิจัยแห่งชาติด้านเทคโนโลยี การเกษตร (Agritech) จึงมุ่งสร้างนวัตกรรมใหม่เพื่อรับมือทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนเกษตรกร Agritech เป็นหนึ่งในห้าโครงการที่ก่อตั้งขึ้นในปี
พ.ศ. 2566 ด้วยงบประมาณ 477 ล้านยูโร ภายใต้โครงการ Next Generation Europe ของสหภาพยุโรป มีนักวิจัยร่วมทำงานกว่า 2,000 คน โดยมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีทางการเกษตรที่จะช่วยให้เกษตรกรและบริษัทด้านเกษตรได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง หนึ่งในหัวข้อสำคัญของการวิจัยที่ดำเนินการโดย Agritech และสภาวิจัยแห่งชาติอิตาลี (CNR) คือ การปรับปรุงพันธุกรรมพืช ปศุสัตว์ และจุลินทรีย์ ให้ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศและใช้น้ำน้อยลง ตัวอย่างสำคัญได้แก่ การศึกษาพันธุ์มะเขือเทศที่ใช้น้ำน้อย ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะอิตาลีเป็นผู้ผลิตมะเขือเทศแปรรูปรายใหญ่รองจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งหากสามารถลดความต้องการน้ำของมะเขือเทศได้ 10% จะช่วยให้อิตาลีรักษาตำแหน่งผู้นำด้านการผลิตมะเขือเทศกระป๋องได้แม้เผชิญวิกฤตการคลาดแคลนน้ำ
**นอกจากนี้ ด้านปศุสัตว์ มหาวิทยาลัย Tuscia University (เมือง Viterbo) กำลังศึกษาวิจัยเพื่อลดการปล่อยก๊าซมีเทนและแอมโมเนียจากภาคปศุสัตว์ ซึ่งคิดเป็น 80% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร
โดยพัฒนาวิธีวัดการปล่อยก๊าซจากสัตว์เป็นรายตัวทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมไปถึงการใช้สารสกัดจากธรรมชาติจากพืชเพื่อเสริมภูมิต้านทานให้สัตว์ ทนต่อโรคและความร้อน ลดการใช้ยาปฏิชีวนะในฟาร์ม
**อีกหนึ่งนวัตกรรมที่สำคัญคือการใช้ภาพถ่ายจากดาวเทียมและโดรนวิเคราะห์ด้วย AI เพื่อตรวจสอบระดับความชื้นของดินและสุขภาพพืช ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิธีการจัดการทรัพยากรอย่างแม่นยำ ลดการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
**อย่างไรก็ตาม การถ่ายทอดนวัตกรรมดังกล่าวไปสู่เกษตรกร ยังมีข้อจำกัดในการเข้าถึงเทคโนโลยีของเกษตรกร โดยเฉพาะฟาร์มขนาดเล็กทางตอนใต้ของประเทศ เพื่อผลักดันโครงการดังกล่าว ศูนย์วิจัย Agritech ได้จัดตั้งสถาบัน Agritech Academy ในเมือง Naple ฝึกอบรมนักศึกษา 40 คนต่อปี เพื่อเป็นที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีให้กับเกษตรกรด้วยงบลงทุน 80 ล้านยูโร
**ในปี พ.ศ. 2566 ศูนย์วิจัย Agritech ยังได้เปิดตัวโครงการ Farming Future ซึ่งเป็นโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีระดับประเทศ ที่จะสนับสนุนสตาร์ทอัพ 18 แห่งและเทคโนโลยีต้นแบบ 20 รายการภายใน 3 ปี ด้วยงบประมาณ 20 ล้านยูโร นอกจากนี้ยังมีการสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยและฟาร์มต่างๆ เพื่อทดสอบนวัตกรรมในฟาร์มจริง เออร์โคลินี ผู้บริหารศูนย์กล่าวว่า "ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง เราจำเป็นต้องนำเอาเทคโนโลยีที่พัฒนาแล้วเหล่านี้ไปสู่มือเกษตรกรให้ได้

ตกลง